“โรม” ฉุน รัฐบาลแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าช้า
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชา ที่มีการวางทุ่นระเบิดฝั่งชายแดนไทยและมีทหารได้รับบาดเจ็บว่า ในวันพฤหัสที่ 24 ก.ค. จะพูดคุยในภาพรวมทั้งหมด และจะขอมติที่ประชุมคณะกรรมการธิการฯเพื่อใช้อำนาจ เรียกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ซึ่งไม่ได้สนใจ แต่ตนทำหน้าที่ของตน เพราะสิ่งที่ตนทำไปทั้งหมดหลักคิดง่ายนิดเดียวเพร่ะเรื่องคลิปเสียง การสนทนาระหว่างนางสาวแฟทองธาร และ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก และพยายามปลดให้จบไม่ต้องไม่ต้องมีการทำอะไรต่อ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ตนรับไม่ได้ ดังนั้นตนเป็นประธานกรรมาธิการความมั่นคงฯ จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะเรื่องนี้เป็น จุดเปลี่ยนที่สำคัญในหลายเรื่องของรัฐบาล ที่ไม่สามารถเดินต่อได้ ในการทลายความขัดแย้งที่เป็นอยู่กับกัมพูชา
นายรังสิมันต์กล่าวว่า การที่เราเห็นปราสาทตาเมือนธม ที่มีคนขึ้นไปแล้วแทบจะเป็นเวทีมวยตลอดเวลา ตนไม่คิดว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ขอถามว่าหากความขัดแย้งขยายใหญ่โตจากปัญหาของ 2 ตระกูลที่เกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ สุดท้ายคนทั้ง 2 ประเทศจะต้องเข่นฆ่ากัน ซึ่งถือเป็นความไม่รับผิดชอบของนางสาวแพทองธาร และนายทักษิณ และทำให้สุดท้ายประเทศไทยเสี่ยงกับการ เจอวิกฤตทางการเมืองที่เราเป็นอยู่ จึงคิดว่าปัญหาตามแนวชายแดนควรจะมีแนวทางที่จะต้องหาทางออกได้แล้ว ไม่ควรปล่อยแบบนี้ต่อไป โดยที่เรื่องต่าง ๆ ที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับชาติอื่น รวมถึงแก๊งคอร์เซ็นเตอร์ก็มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยมาก ในขณะที่ล่าสุดที่มีการวางกับดักระเบิดก็ชัดเจนว่าผิดอนุสัญญาออตตวา จะรอเดือนธันวาคมที่มีที่การประชุม ก็เป็นไปไม่ได้ และท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศถือว่าล่าช้าไปมาก เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ผันแปรไป ดังนั้นความล่าช้าต่างๆ ก็เติมไฟให้ความรู้สึกของประชาชน และหากสถานการณ์ บานปลายถึงขั้นลบกันก็ไม่มีใครได้ ทุกคนเสียหมด
ส่วนกรณีกับดักระเบิดที่ฝั่งกัมพูชาออกมาเผยว่าประเทศไทยไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นระเบิดของฝั่งไทยหรือกัมพูชา นายรังสิมันต์ เผยว่า หลักฐานอยู่ที่ระเบิดเพราะหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญก็จะรวบรวมข้อมูล แต่หากเป็นระเบิดที่ถูกวางโดยฝ่ายกัมพูชาจริงนั้นตนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะตามอนุสัญญานั้นมีบทลงโทษที่ไม่ชัดเจนแต่ใครที่ละเมิดอนุสัญญาก็จะเสียหายการยอมรับในเวทีนานาชาติ ก็เรียกได้ว่าได้รับความเสียหายมากจึงคิดว่าเรื่องนี้ประเทศไทยอยู่เฉยไม่ได้และต้องทำงานทั้งกระทรวงการต่างประเทศกับฝ่ายความมั่นคงอย่างเป็นเอกภาพคิดว่าการทำงานวันนี้กับทั้งสองหน่วยงานนั้นมีปัญหามาก และรัฐบาลก็ไม่คิดจะแก้ปัญหาเพราะสถานการณ์นั้นพัฒนาไปเร็ว แต่กระทรวงการต่างประเทศที่จะออกประณามแต่ละครั้งก็มีความล่าช้า หนังสือประท้วงก็ยังไม่ได้ทำ การเชิญทูตมาตำหนิก็ไม่ได้ทำคิดว่ากระบวนการหลายอย่างค่อนข้างล่าช้าเลยคิดว่ารัฐบาลอาจจะมีปัญหาจะไปรอให้หน่วยงานโดยปฏิบัติทำเองทุกอย่างก็ไม่ได้
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าไปต่อไม่ได้ มีวิถีทางการเมืองอยู่ คือ คืนอำนาจให้ประชาชน ถ้าเมื่อไหร่ที่นางสาวแพทองธารหรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่รู้จักคำว่าพอหรือไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นี้จะไปต่อไม่ได้จริงๆ อยากให้มองในภาพรวมแล้วคิดว่าถ้าสถานการณ์แบบนี้เดินต่อไม่ได้ บางทีการเดินไปสู่การเลือกตั้งก็อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อมีการเลือกตั้งทุกอย่างจะคลี่คลายมากกว่านี้