ภาษี US ชัดเจนดันหุ้นไทยไปต่อ จับตาแรงเก็งกำไรผลประกอบการ บจ.
ภาพรวมหลังได้ข้อสรุปภาษีส่งออกสหรัฐ ฯ ลดเหลือ 19% คาดทำให้การส่งออกดูดีขึ้นเล็กน้อย พอแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ “กรณ์” ชี้แม้จะไม่เสียเปรียบ แต่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนสูงของประเทศ แนะรัฐเร่งเยียวยา ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์เชื่อช่วยหนุนตลาดดูดีขึ้น ด้านโบรกฯประเมินหุ้นไทยไปต่อ ชูกลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาลเด่น คาดนักลงทุนหันมาโฟกัสการประกาศกำไรบริษัทจดทะเบียน
ในที่สุดก็ได้รู้กันเสียทีว่า สินค้าส่งออกจากไทยที่จะนำส่งเข้าสหรัฐ ฯ ต้องเสียภาษีในอัตราเท่าใด หลังจากการเจรจาที่ผ่านมาไม่เป็นผล แถมต้องมาโดนขู่แกมบังคับให้ไทยหยุดยิงกัมพูชาทั้งที่ไทยเป็นฝ่ายถูกรุกลำแนวเขตแดง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 2568 ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการบรรลุข้อตกลงมาตรการภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐอเมริกาว่า จะเป็นอัตราภาษีใหม่ที่ 19% โดยจะเริ่มใช้กับสินค้าที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การเจรจาครั้งนี้ได้ข้อสรุปที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอัตราภาษีนำเข้าใหม่ โดยสินค้าที่ส่งออกจากไทยไปถึงสหรัฐ ฯตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป จะเสียภาษีในอัตราใหม่ที่ 19% อัตรานี้ถือว่าใกล้เคียงกับที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้รับ ทำให้การแข่งขันยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ส่วนสินค้าที่ส่งออกก่อนวันที่ 7 ส.ค.68 และถึงสหรัฐแล้ว จะยังคงใช้อัตราภาษีเดิมที่ 10%
อย่างไรก็ตาม หากเป็นสินค้าที่เข้าข่ายสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในประเทศ แต่ส่งผ่าน (Transshipment) หรือมี Local Content น้อย จะถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งประเทศไหนได้เปรียบเสียเปรียบก็อยู่ที่ตรงประเภท 40% นี้เอง โดยรัฐบาลจะดำเนินการควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ และเชื่อว่าภายในหนึ่งปีสินค้าประเภทเหล่านี้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่อ่วมพอแข่งขันได้
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มีหลายฝ่ายออกมาประเมินว่า เป็นไปในทิศทางที่เป็นบวก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเดิมที่มีการขู่ว่าจะสูงถึง 36% นั่นเพราะอัตราภาษีใหม่ 19% ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทย เนื่องจากใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซียที่ 19% และเวียดนามที่ 20% ทำให้สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ และช่วยพยุงไม่ให้ภาคการส่งออกหดตัวรุนแรง
ขณะเดียวกันการได้ข้อสรุปอัตราภาษีที่ชัดเจนช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถวางแผนธุรกิจได้ง่ายขึ้น ลดความไม่แน่นอนในตลาดการค้า และเชื่อว่าจะเป็นข่าวดีที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทย และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิค
ไม่เพียงเท่านี้ หลายฝ่ายยังมองว่า อัตราภาษีใหม่ยังช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและรักษาฐานการส่งออกของประเทศในระยะยาว รวมถึงอัตราภาษีที่ชัดเจนและไม่สูงเกินไป อาจช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยเพิ่มขึ้นเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
อิเล็กฯ-เกษตรต้องหาทางลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าวนอกจากเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจประเทศก็มีประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน เริ่มที่แม้จะได้ข้อตกลงที่ดี แต่สงครามการค้ายังไม่จบสิ้น ผู้ประกอบการไทยจึงยังคงต้องระวัง และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเกษตร-อาหาร อาจจะยังคงได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น และต้องหาวิธีลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษากำไร
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องเข้าใจว่า แม้อัตราภาษีจะใกล้เคียงกับคู่แข่ง แต่การแข่งขันในตลาดโลกยังคงสูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาศักยภาพและหาแนวทางเพิ่มจุดแข็งของสินค้าอย่างต่อเนื่อง
ไหนปัจจัยบวก-หุ้นไทยทิ้งดิ่ง
ขณะที่บรรยากาศการซื้อตลาดหุ้นไทยวันที่ 1 ส.ค. 2568 หลังรับทราบข่าวความชัดเจนเรื่องอัตราภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯใหม่ที่ระดับ 19% ทำให้การซื้อขายหุ้นในช่วงเช้า ตลาดเปิดในแดนบวก โดยดัชนี SET ปรับขึ้นกว่า 10 จุด เนื่องจากนักลงทุนรับข่าวดีจากการที่ไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีกับสหรัฐฯได้กีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม พอเริ่มการซื้อขายในช่วงบ่าย ดัชนีหลักทรัพย์พลิกกลับมาปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนี SET ร่วงลงมาประมาณ 24 จุดเมื่อปิดตลาด ซึ่งการปรับตัวลงนี้เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ "Sell on Fact" เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่มีการประกาศภาษีส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากข่าวที่ออกมาไม่ได้เหนือความคาดหมาย นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจาก Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลออก และความกังวลจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น สถานการณ์การเมือง
ทำให้วันศุกร์ที่ผ่านมา (1ส.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,218.33 จุด ลดลง 24.02 จุด หรือ 1.93% มูลค่าการซื้อขาย 54,586ล้านบาท
“กรณ์”เชื่อผู้ส่งออกอ่วม-ต้นทุนพุ่ง!
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อว่า “19% จะส่งผลอย่างไร?” ระบุว่า "19% จะส่งผลอย่างไร? โดยเริ่มว่าก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับ Team Thailand ที่สุดท้ายช่วยทำให้ไทยได้อัตราใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่ม ASEAN ด้วยกัน และอย่างที่ผมได้แสดงความเห็นไว้เมื่อ 2-3 วันก่อน อัตราภาษีนี้ถือว่าแลกมาด้วยเลือดเนื้อของคนไทย โดยไทยยังมีการบ้านต้องทำอีกมากในการทำความเข้าใจกับชาวโลก อย่างน้อยก็ถือว่าเรายังสามารถยันไว้ไม่ให้กัมพูชาตบตาชาวโลกได้ว่าไทยเราเป็นผู้รุกราน
อย่างไรก็ตาม อัตราภาษี 19% จะทำให้กำไรผู้ส่งออกลดลงแน่นอน เพราะต้องแบกรับภาระภาษีไว้ไม่มากก็น้อย บวกกับปริมาณการบริโภคโดยชาวอเมริกันที่อาจจะลดลงเพราะของแพงขึ้น
ขณะที่ จีนน่าจะเหนื่อยที่สุด เพราะจะหนีด้วย transshipment ก็ยากขึ้น ดังนั้นผลต่อไทยเราคือสินค้าราคาถูกจากจีนจะทะลักเข้ามามากขึ้น เตรียมรับมือให้ดี แต่สรุปไทยไม่ได้เสียเปรียบเพิ่มเติมจากเรื่อง tariff และท่านรองนายกฯ พิชัย ได้พูดในสิ่งที่ถูกต้องทั้งในเรื่องการเร่งเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการด้วยวงเงินสินเชื่อ และความจำเป็นที่ต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้แข่งขันได้ในอนาคต
ตลาดหุ้นยกเป็นข่าวดีหนุน บจ.
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงข้อสรุปอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% ว่า ในมุมมอง ตลท.มองว่าเป็นข่าวดีที่มีความชัดเจนอัตราภาษีออกมา แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลุ่มใดที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์หรือมีผลกระทบ เพราะฉะนั้นก็มองเป็นข่าวดีสำหรับตลาดทุนของเรา”นายอัสสเดช กล่าว
ขณะที่เบื้องต้นผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ของ บจ.ที่มีการส่งออกโดยตรงไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 2% หรือต่ำกว่า 2% ของรายได้รวมทั้งหมด บจ. ดังนั้นผลกระทบตั้งแต่เริ่มต้นไม่ได้รุนแรงโดยตรง แต่ยังต้องติดตามปัจจัยอื่น ๆ ว่า บจ.มีการส่งออกผ่านประเทศอื่นหรือไม่ และไทยนำเข้าเพื่อส่งออกต่อไปอย่างไรเพื่อประเมินสถานการณ์ให้ครบถ้วน
ขณะที่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. แสดงความเห็นว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควร ก่อนเริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วนจากความกังวลการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จึงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจหลังมาตรการภาษีสหรัฐได้ข้อสรุปแล้ว และต้องรอดูว่านักวิเคราะห์ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างไร
คาดส่งออกฟื้นตัวเล็กน้อย
จากกรณีสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ใหม่ต่อไทย ในอัตราที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 36% มาอยู่ที่ 19% ใกล้เคียงกับภูมิภาคอาเซียน และดีกว่าเวียดนาม หลังทางการไทยมีความพยายามในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นอัตราที่ดีกว่าเดิม และแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา อีกทั้งอัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าอัตราภาษีที่อินเดียได้รับที่ 25% ซึ่งอัตราภาษีฯ ที่ไม่แตกต่างกันส่งผลให้ในภาพรวมสินค้าส่งออกไทยยังคงความสามารถทางการแข่งขันได้ ขณะที่ภาพการค้าโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลงรวมถึงหลายประเทศได้รับอัตราภาษีฯ ที่ลดลงกว่าที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อการส่งออกไทยอีกทางหนึ่ง
ขณะที่อัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในอัตรา 40% คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำนั้นมีแนวโน้มชะลอลง โดยขึ้นอยู่กับการบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) อย่างจริงจังที่อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการผลิตไทย
นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าฯ ของไทยเทียบกับภูมิภาคที่ไม่แตกต่างกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อบริโภคในประเทศคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตในปีนี้คาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดส่งออกจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5% จากเดิม 1.4% ท่ามกลางท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด โดยคาดว่าจะหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -7.4% gเทียบจากปีก่อนและการส่งออกไทยทั้งปี 2568 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 1.5% ทั้งนี้ การส่งออกไทยในครึ่งปีหลังที่ยังหดตัวเป็นผลจากการเร่งสูงออกสูงในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.0% จากปีก่อน ประกอบกับมีปัจจัยฐานการส่งออกทองคำที่สูงในครึ่งหลังของปี 2567
ตลาดหุ้นเริ่มพุ่งเป้ากำไร บจ.
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า SET Index เดือน ส.ค.จะแกว่งตัวในกรอบ 1,180-1,270 จุด โดยระดับแนวต้านที่ 1,270 จุด มีที่มาจากเป้าหมายดัชนี SET ในกรณีฐานตามวิธี PE Model ตามเดิม และเป็นระดับที่อิงสมมติฐานการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ที่ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว
ส่วนระดับแนวรับที่ 1,180 จุด เป็นระดับที่เคยประเมินว่าดัชนี SET จะยืนเหนือได้ หากอัตราภาษี Tariff สุดท้ายที่ไทยถูกสหรัฐฯเรียกเก็บอยู่ในระดับ 20% หรือต่ำกว่า ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นเช่นนั้นจริง
ทั้งนี้ หลังจากผ่านพ้นประเด็น Tariff ในช่วงต้นเดือนไปแล้ว ตลาดน่าจะเริ่มหันมาให้น้ำหนักกับปัจจัยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่กำลังทยอยออกมามากขึ้น รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะกลับมาเข้มข้นอีกครั้งในเดือนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาของศาลอาญาคดีนายทักษิณกรณีมาตรา 112, การพิพากษาของศาลฎีกาฯกรณีชั้น 14, การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อนายกฯ แพทองธารว่าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯหรือไม่ และการชุมนุมทางการเมืองที่กลับมาอีกครั้ง โดยหากเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งเงื่อนเวลาของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 ที่เปลี่ยนแปลงไป เชื่อว่าจะพอเป็นสิ่งที่นักลงทุนยอมรับได้ และไม่น่ามีผลกระทบต่อภาพ SET Index มากนัก
ดังนั้น เชิงกลยุทธ์แนะนำใช้กลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดัชนีที่ประเมินไว้ โดยมองโซนในการทยอยลดน้ำหนักหุ้นอยู่ที่บริเวณดัชนี 1,250-1,270 จุด ส่วนโซนในการทยอยเข้าสะสมหุ้นอยู่ที่บริเวณดัชนี 1,180-1,200 จุด สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในเดือนนี้ ได้แก่
กลุ่มท่องเที่ยวที่ Earnings เตรียมผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 พร้อมๆกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ภาครัฐอาจออกมาสนับสนุนในช่วงถัดไป เลือก AWC, BA, CENTEL, ERW
กลุ่มโรงพยาบาลที่เตรียมเข้าสู่ High season และเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ และน่าจะมีความคืบหน้าในการจ่ายค่ารักษาประกันสังคมภาระเสี่ยงเพิ่มเติม รวมถึงค่ารักษา COVID ค้างจ่าย เลือก BDMS, BH, BCH, CHG
"ผลกระทบในแง่ของดัชนี SET อาจมีไม่มากนัก หรืออาจเห็นปรากฏการณ์ Sell on fact บ้างในระยะสั้น แต่ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างกลุ่มส่งออก เช่นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมนั้น ประเมินว่าความชัดเจนที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวปลดล็อคความ Overhang ที่เคยกดดันตัวหุ้นมาก่อนหน้านี้ได้บ้าง ทั้งนี้สิ่งที่คงต้องติดตามต่อไปก็คือรายละเอียดของดีลที่เกิดขึ้นว่าไทยเราจะต้องมีการเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯรายการใดบ้าง และต้องมีการลดอากรขาเข้าต่อสินค้าเหล่านี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่มากอาจเป็นปัจจัยกดดันภาพ GDP ของไทยในช่วงถัดไป ผ่านตัวแปร Net export ที่ปรับลดลงได้" นายณัฐชาตกล่าว
ทิศทางตลาด ส.ค.เป็นบวก
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ จำกัด ระบุว่ามีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน ส.ค.นี้ โดยครึ่งเดือนแรกน่าจะได้อานิสงส์จากแนวโน้มเงินทุนต่างชาติที่เป็นบวก และการเก็งกำไรผลประกอบการและคาดหวังเงินปันผล แต่ในช่วงครึ่งเดือนหลังอาจต้องติดตามปัจจัยการเมืองที่อาจกลับมาสร้างความกังวลใจแก่นักลงทุน
สำหรับการคัดเลือกหุ้นลงทุนในเดือนนี้นั้น แนะนำนักลงทุนเลือกหุ้นที่แนวโน้มงบไตรมาส 2/68 จะออกมาดีหรืออย่างน้อยเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และเลือกหุ้นบางตัวที่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล รวมทั้งหุ้นที่ผู้บริหารร่วมงาน Thailand Focus ซึ่งจะสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแนะนำลงทุนในหุ้น AMATA, COM7, GPSC, GULF, KKP, PR9 และ SCB ส่วนด้านแนวรับสำคัญหุ้นไทยอยู่ที่ 1,190 - 1,200 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,270 – 1,300 จุด ตามลำดับ
สำหรับรายละเอียดที่ทำให้ บล.ทิสโก้มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้นนั้น เนื่องจากภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้น Real Sector ขนาดใหญ่บางตัวที่รายงานออกงบมาแล้ว อาทิ SCGP, SCC และ BH เป็นต้น ส่วนใหญ่มีกำไรดีกว่าคาด ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อเก็งผลประกอบการในระยะสั้นและทิศทางการลงทุนของต่างชาติในเดือนก.ค.68 พลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่ทิศทางการลงทุนของต่างชาติยังมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะสั้น
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO