ปิดดีลภาษีสหรัฐฯ19% “พิชัย”มั่นใจไทยแข่งได้-ยันไม่ทิ้งผู้กระทบ เอกชนยิ้ม!ลุ้นส่งออกบวก-ลงทุนเข้า
ในที่สุดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2568 เรียกเก็บภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) จากไทยในอัตรา 19% จากเดิม 36% ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568 และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่สร้างขวัญและกำลังใจให้กับภาครัฐและภาคเอกชนไทย หลังจากทุ่มแรงกาย แรงใจ ในการเตรียมข้อมูล เตรียมแผนเจรจา และเตรียมการเจรจา มาอย่างเข้มข้นตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ ภาษีไทยที่โดนเรียกเก็บในอัตรา 19% ดังกล่าว ยังเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศในอาเซียน โดยเวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% ฟิลิปปินส์ 19% กัมพูชา 19% มาเลเซีย 19% สิงคโปร์ 10% บรูไน 25% ส่วนสปป.ลาว และเมียนมา โดนอัตรา 40% เท่ากัน และอัตราภาษีนำเข้า จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2568 เป็นต้นไป แทนที่จะเริ่มวันที่ 1 ส.ค.2568 ตามที่คาดการณ์ไว้เดิม เพื่อให้หน่วยงานศุลกากรของสหรัฐฯ มีเวลาปรับระบบการจัดเก็บภาษีให้ทันตามข้อกำหนดใหม่
ส่วนอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น 15% อินเดีย 25% ไต้หวัน 20% เกาหลีใต้ 15% สหภาพยุโรป 15% สหราชอาณาจักร 10% และมีหลายประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีเกิน 30% ขึ้นไป เช่น ซีเรีย 41% สวิตเซอร์แลนด์ 39% เซอร์เบีย 35% อิรัก 35% แอลจีเรีย 30% บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 30% ลิเบีย 30% แอฟริกาใต้ 30% เป็นต้น และยังขยับภาษีนำเข้าจากแคนาดาเพิ่มเป็น 35% ส่วนกับเม็กซิโก ผ่อนปรนภาษีอีก 90 วัน กับจีนยังอยู่ระหว่างการขยายเวลาเจรจา
“พิชัย”ขอบคุณทีมไทยแลนด์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในช่วงเช้าวันที่ 1 ส.ค.2568 หลังทราบผล ว่า การประกาศ Tariff rate ที่ 19% สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย
การทำงานยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพี่น้องเกษตรกร จึงได้จัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็น เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
ผลการเจรจาครั้งนี้ เป็นสัญญาณให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในอนาคต
ขอบคุณทีมไทยแลนด์สำหรับความทุ่มเทและความพยายามอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ยากจะควบคุม แต่เรายังมีภารกิจอีกมากที่ต้องสู้ต่อไป เพื่อประเทศไทยของพวกเราทุกคน
มั่นใจภาษี 19% ไทยแข่งขันได้
ต่อมานายพิชัยได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงผลการเจรจา ว่า ภาษีสหรัฐ 19% ที่ไทยได้มา สามารถแข่งขันได้ หากเราเทียบเฉพาะคู่แข่ง ต่างคนก็ต่างโดนเท่า ๆ กัน ต้องมาแข่งขันกันตามเนื้อผ้า โดยอัตราภาษีจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2568 เรือขนส่งสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะนี้ยังได้รับอัตราภาษีที่ 10% แต่หลังจากนั้น จะโดนคิดอัตราภาษีตามที่สหรัฐฯ ประกาศ ส่วนสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์ จะโดนคิดอัตราภาษี 40%
แจงรายละเอียดเปิดตลาด
สำหรับข้อเสนอที่ทีมไทยแลนด์เจรจากับสหรัฐฯ ไทยได้เสนอลดภาษีสินค้านำเข้าให้กับสหรัฐฯ รวมแล้วกว่า 1 หมื่นรายการ โดยบางสินค้าลดอัตราภาษีให้ 0% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่าง ๆ อยู่แล้ว สินค้าที่ไทยผลิตได้แต่ในประเทศไม่เพียงพอ และบางสินค้าที่ให้ภาษี 0% แต่ก็ไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันที มีการขอเวลาปรับตัว 3-5 ปี
ยกตัวอย่างเช่น เชอร์รี เป็นสินค้าที่ไม่เป็นผลต่อเศรษฐกิจไทย ก็เปิดตลาดให้ เป็นการเพิ่มสีสันในการนำเข้า และสินค้าเหล่านี้ ทุกวันนี้ก็ส่งมาจากออสเตรเลีย และจีน ทำให้ระดับสากลต้องแย่งตลาดไทย ซึ่งผู้บริโภคในประเทศจะได้ประโยชน์
ส่วนสินค้าบางรายการที่ไทยจะเปิดนำเข้าจากสหรัฐฯ เพราะผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอ เช่น ข้าวโพด ได้มีการหารือกับผู้ประกอบการในประเทศ หากมีการนำเข้า จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 30% ซึ่งปัจจุบันใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 ล้านตัน ภายใน 2-3 ปี โดยรัฐจะมีมาตรการคุ้มครองเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดในไทย กำหนดให้มีการซื้อสินค้าไทยก่อน
สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศและมีเพียงพออยู่แล้ว ได้ขอระยะเวลาลดอัตราภาษีให้กับสหรัฐฯ และในระหว่างนี้ จะเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ เพิ่มขีดสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้าง
นอกจากนี้ ได้เสนอสินค้าบางรายการที่สหรัฐฯ ไม่มีการผลิต ให้สามารถส่งออกมาไทยได้ในอัตรา 0% ซึ่งสุดท้ายสหรัฐฯ ก็ไม่ส่งมา เพื่อให้สหรัฐฯ รู้สึกว่าไทยเปิดรายการสินค้ามากขึ้น เช่น ลำไย และปลานิล เราเปิดให้สหรัฐฯ ส่งออกมาในประเทศไทยได้ แต่ส่วนใหญ่สินค้าที่ส่งออกมาจากสหรัฐฯ เป็นสินค้าแปรรูป และราคาต่างจากไทย 10-20 เท่า แม้ว่าไทยจะเปิดให้สหรัฐฯ แต่สินค้าก็ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการในประเทศไทยได้ เพราะไทยมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
ขณะที่การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ส่งออกหมูมาไทยได้นั้น มีการเปิดตลาดสัดส่วนเล็กน้อยไม่ถึง 1% ของการบริโภคในประเทศ เนื่องจากมีผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก โดยจะมีการตรวจสินค้านำเข้าที่ต้นทาง และมีการกำหนดกฎเกณฑ์การนำเข้าด้วย
นำเข้าก๊าซธรรมชาติ-ซื้อเครื่องบิน
นายพิชัยกล่าวอีกว่า สิ่งที่สหรัฐฯ อยากให้ประเทศไทยนำเข้า คือ พลังงาน และปิโตรเคมี โดยในปี 2569 ไทยได้เซ็นสัญญาเริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติ 1 ล้านตัน จากทั้งหมด 15 ล้านตัน ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าไทยถูกลง เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ มีราคาถูก และยังพิจารณานำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% จากปกติไทยนำเข้าน้ำมันกว่า 90% จากทั่วโลกอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ยังมีแผนการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ เป็นแผนเดิมที่การบินไทยเตรียมจะซื้อเครื่องบินอยู่ประมาณ 100 ลำ โดยจากนี้ จะเน้นซื้อจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินเล็ก คาดว่า การบินไทยจะทยอยซื้อเพิ่มอีก 80-90 ลำ ภายใน 5-10 ปี
ส่วนการลงทุนไทยในสหรัฐฯ จะพิจารณาลงทุนในกลุ่มที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ เช่น เกษตรแปรรูป และพลังงาน
แก้ระเบียบนำเข้า-คุมเข้มสวมสิทธิ์
นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากการลดภาษีให้กับสหรัฐฯ ในการเจรจา สหรัฐฯ ยังขอให้ไทยลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยส่วนนี้จะต้องเข้าไปแก้ไขกฎเกณฑ์ ระเบียบ เช่น การนำเข้า จะมีการวางแผนร่วมกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ขั้นตอนสั้นลง และใช้ระบบ One Stop Service ซึ่งสหรัฐฯ อยากให้ไทยปรับในเรื่องนี้ และเป็นข้อดีที่จะช่วยเพิ่มเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับการสวมสิทธิ์สินค้าไทย ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องสัดส่วนมูลค่าเพิ่มภายในภูมิภาค (Regional Value Content – RVC) หรือสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ที่ยังต้องเจรจากันต่อ โดยสหรัฐฯ อยากเห็นสัดส่วนที่สูง แต่ไทยไม่อยากให้สูงนัก หากสหรัฐฯ สงสัยว่าเป็นสินค้าที่สวมสิทธิ์ จะคิดอัตราภาษี 40% ซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องเร่งเข้าไปแก้ไขปัญหา เพราะสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ สงสัยเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์กว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งได้สั่งการให้กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ ทำการบ้านควบคู่กรมศุลกากรสหรัฐฯ เพื่อกำกับดูแลในเรื่องนี้แล้ว
เตรียมมาตรการช่วยผู้กระทบ
นายพิชัยกล่าวว่า ขั้นตอนการทำงานหลังจากนี้ จะมีการลงรายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงเตรียมแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของไทย และออกมาตรการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยผู้ประกอบการที่ชะลอการส่งออก หรือขาดสภาพคล่อง ได้เตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ไว้ให้แล้ว ส่วนเรื่องการปรับปรุงต้นทุนการผลิต รัฐบาลจะเข้าไปเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ โดยได้อนุมัติวงเงินเข้ากองทุนแล้ว 1 หมื่นล้านบาท และมอบให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ช่วยเก็บข้อมูลและจัดกลุ่มผู้ประกอบการ เพื่อเข้าไปช่วยดูแล เช่น เรื่องการปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น
ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยโนบาย ให้เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลต่อทั้งเรื่องปริมาณเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งตอนนี้ ได้ให้ข้อมูลไปเยอะแล้ว แบงก์ชาติก็ทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง คงเห็นสถานการณ์ว่าตอนนี้ผู้ส่งออกต้องการอะไร
“ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ หรือไม่ โจทย์ที่สำคัญที่สุดของไทย คือ ต้องทำงาน สิ่งที่เขามาขอให้เราทำเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของเราถูกลง เพราะจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคและการแข่งขัน การเจรจาภาษี คือ 1 ใน 3 เรื่องที่เราต้องทำ จากนี้ยังมีงานอีก 2 ใน 3 ที่เราต้องทำ”นายพิชัยกล่าว
“พาณิชย์”ตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาแบบ One Stop Service ที่ศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ ถ.รัชดาภิเษก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารและหน่วยงานสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ารับคำแนะนำ ปรึกษา และหาทางออกได้ในที่เดียว เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับผลกระทบของอัตราภาษี 19% ต้องพิจารณาเป็นรายสินค้า โดยจะมีการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์จะเร่งเปิดตลาดใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และเร่งผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าเพิ่มเติม ซึ่งได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งการเจรจาเปิดตลาดใหม่ และให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด โดยได้เริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว
“สิ่งสำคัญที่สุด คือ การปรับตัวของผู้ประกอบการ เพราะสถานการณ์การค้าโลกวันนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เรื่องภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรการสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ที่เป็นเงื่อนไขใหม่ทางการค้า” นายจตุพรกล่าว
ยังมั่นใจส่งออกปีนี้บวก 2-3%
ทางด้านภาพรวมการส่งออกปี 2568 หลังรู้อัตราภาษีสหรัฐฯ นายจตุพร ยังมีความมั่นใจว่า แม้จะมีความท้าทายจากภาษีใหม่ แต่การส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตเป็นบวก คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 2-3% และจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
รายงาน ครม.ก่อนเจรจาต่อและส่งสภาฯ
นอกจากนี้ นายพิชัยยังได้นำผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) วาระพิเศษ ที่เรียกประชุมในช่วงบ่ายวันที่ 1 ส.ค.2568 พิจารณา เพื่อรับทราบ โดยเป็นข้อเสนอแบบไม่มีข้อผูกพัน แต่เป็นหลักการใหญ่ว่าไทยตกลงอะไรไว้บ้าง เพื่อไปดำเนินการลงรายละเอียดในสัญญาแต่ละเรื่อง โดยหลังจากนี้ สหรัฐฯ จะเผยแพร่ข้อตกลงทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อตกลงแบบกรอบใหญ่ ๆ ในการเข้ามานั่งเจรจา เป็นข้อตกลงที่เรียกว่า ART Text (Agreement on Reciprocal Tariff Text) หรือเนื้อหาข้อตกลงอัตราภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจากนี้ จะมีการนัดหารือในรายละเอียดกับสหรัฐฯ ต่อไป คาดว่าจะในเร็ววันนี้ เพราะสหรัฐฯ ได้แจ้งมาว่าทันทีที่เสร็จเรื่องนี้ ก็อยากจะหารือต่อเลย
“เมื่อได้กรอบใหญ่มาแล้ว ก็จะเอากรอบนี้ไปเจรจา เพื่อนำมาซึ่งสัญญาในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น และในสัญญาก็จะลงรายละเอียดในแต่ละเรื่อง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสักพัก ผมคิดว่าในหลายอย่างที่ยังเปิดไว้ เช่น เรื่องที่เราจะซื้อสหรัฐฯ หรือสหรัฐฯ จะส่งเข้ามามีกติกาอย่างไร รวมถึงเรื่องสำคัญ คือ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า จะเป็นอย่างไร เมื่อเจรจาได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป”
เอกชนชื่นชมทีมไทยแลนด์
สำหรับความเห็นภาคเอกชนที่มีต่อผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมอย่างยิ่งต่อทีมไทยแลนด์ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้กำหนดอัตราภาษีของไทยอยู่ที่ 19% ซึ่งแทบไม่ต่างกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย 19% และเวียดนาม 20% และแม้ว่าอัตรานี้จะสูงกว่าพื้นฐาน 10% แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมในภาวะที่ไทยเคยเผชิญกับข่าวว่าจะถูกกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 36% การที่ทีมเจรจาไทยสามารถเจรจาลดตัวเลขลงเหลือ 19% ได้ภายในเวลาที่จำกัด แสดงถึงความมุ่งมั่น ความเข้าใจในเชิงยุทธศาสตร์ และความสามารถในการดำเนินงานเชิงรุกของทีมเจรจาอย่างแท้จริง
“แม้ระดับภาษีจะสูงขึ้นจากเดิม 10% เป็น 19% แต่ไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เมื่ออัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน”
อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยอยากขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดใหม่ และเตรียมรับมือกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาดและนวัตกรรมทางการค้า และต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อมาตรการ transshipment rate ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ที่ 40% สำหรับทุกประเทศ รวมถึงการเตรียมแผนรับมือด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ด้วย โดยหอการค้าไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางในการประสานเสียงจากภาคเอกชน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดมาตรการและแนวทางในการเจรจาต่อรองได้อย่างแม่นยำ และไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ส.อ.ท.มั่นใจส่งออกบวก-ลงทุนเพิ่ม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่ร่วมกันทำงาน จนไทยได้อัตราภาษีที่เหมาะสมระดับ 19% ซึ่งถือว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง และมั่นใจว่าด้วยอัตราภาษีนี้ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทยที่ในปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 18% ของการส่งออกทั้งหมด จะยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยไว้ได้
ส่วนการลงทุน เดิมมีความกังวลว่า หากอัตราภาษีไทยปรับขึ้นเป็น 36% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ที่ 19-20% อาจทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตออกจากไทย แต่เมื่อผลการเจรจาทำให้ไทยได้อัตรา 19% จึงเชื่อว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงอยู่ และอาจจะมีการไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นภายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว ตอนนี้ไทยสามารถผ่านด่านแรกไปได้แล้ว คือ เรื่องของอัตราภาษี ที่ไม่ได้แตกต่างจากประเทศในกลุ่มเดียวกันมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ผลิตสินค้าคล้ายกับไทย หรือสามารถทดแทนกันได้ เป็นสิ่งสำคัญมากในแง่ของความสามารถในการส่งออกและการแข่งขันด้านราคาของไทยในตลาดโลก
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ผลจากการเจรจาครั้งนี้ช่วยปลดล็อกความกังวลของภาคเอกชนว่าไทยจะสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้หรือไม่ ภาษีที่สูงกว่าคู่แข่งจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ แต่วันนี้คำตอบ คือ เราอยู่ในจุดที่แข่งขันได้ และการเจรจาที่ประสบผลสำเร็จของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย แต่ยังปลดล็อกข้อกังวลของนักลงทุน และเปิดโอกาสใหม่ในการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศกลับเข้าประเทศได้อีกครั้ง รวมทั้งส่งสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO