เปิดวิสัยทัศน์นายกสมาคม TEA คนใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจเอ็กซิบิชั่น 2.8 หมื่นล้าน
สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยกับตลาดโลก ปัจจุบันมีสมาชิก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้จัดงาน, สถานที่จัดงาน, ผู้ให้บริการก่อสร้างคูหา และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ซึ่งวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายลอย จุน ฮาว นายกสมาคม TEA คนใหม่ จะมุ่งมั่นขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วย 3 แนวคิดหลัก ได้แก่ All Inclusive (การรวมพลังทุกภาคส่วนให้เป็นหนึ่งเดียว), All Responsive (การตอบสนองตลาดอย่างรวดเร็วและทันสมัย) และ Forward Thinking (การพัฒนาต่อเนื่องเพื่อนำพาอุตสาหกรรมสู่ระดับโลก)
นายลอย กล่าวว่า สมาคมฯ จะทำหน้าที่เป็น “แพลตฟอร์ม” หลัก 2 ด้าน คือ แพลตฟอร์มการตลาดและการสร้างเครือข่าย และ แพลตฟอร์มการพัฒนาศักยภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการและบุคลากร โดยเน้นย้ำว่างานแสดงสินค้าเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักอย่าง การผลิต เกษตร ดิจิทัล โลจิสติกส์ และอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งล้วนเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศไทย
“งานแสดงสินค้า (Exhibition) เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต เกษตร ดิจิทัล โลจิสติกส์ หรืออาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศไทย”
ภาพรวมตลาดงานแสดงสินค้าไทยในปี 2567 แสดงให้เห็นการเติบโตที่สมดุล โดยมีสัดส่วนงาน B2B (ธุรกิจสู่ธุรกิจ) 44% และงาน B2C (ธุรกิจสู่ผู้บริโภค) 56% ซึ่งสะท้อนความสำคัญของทั้งสองประเภทต่อเศรษฐกิจประเทศ พร้อมทั้งมีพื้นที่รวมในการจัดงานตลอดปีสูงถึง 19,029,591 ตารางเมตร สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการผลิต 25% อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 23% อุตสาหกรรมดิจิทัล 18% อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 18% และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม 16%
คาดปี 2568 สร้างรายได้ 2.86 หมื่นล้าน
สำหรับปี 2568 สมาคมฯ คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากนักเดินทางต่างชาติที่มาร่วมงานในประเทศไทยสูงถึง 28,996 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีนักเดินทางต่างชาติประมาณ 376,577 ราย และมีการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติประเภท B2B ทั้งสิ้น 129 งาน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ
ปัจจุบันงานแสดงสินค้าทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 2-6% ต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 2-3% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของ GDP โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 7 ของเอเชียในด้านการเติบโตของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ สอดคล้องกับ GDP ของประเทศเป็นหัวใจสำคัญและมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย อาทิ เศรษฐกิจโลก และการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน หันมามองหาตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายหลัก โดยตลาดที่น่าสนใจของจีนคือ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม
การลงทุนจากต่างประเทศ การที่โรงงานผลิตจากจีนย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายภาษี ทำให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทย รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อตลาด B2C ขณะที่ตลาด B2B ยังคงมีความต้องการสูงเนื่องจากผู้ประกอบการต้องหาช่องทางใหม่ๆ ในการค้าขาย
นายลอย กล่าวว่า “ข้อได้เปรียบที่สำคัญของประเทศไทยคือการมีสถานที่จัดงานที่พร้อมรองรับ และมีศักยภาพในการดึงดูดผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้ามาในภูมิภาค ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีเหนือคู่แข่งอย่างมาเลเซียและเวียดนาม”
ดึงดูดคนรุ่นใหม่-เน้นความยั่งยืน
อย่างไรก็ตามสมาคมฯ เผชิญความท้าทายในการรักษาฐานบุคลากรในอุตสาหกรรม หลังจากที่ผู้ประกอบการหลายรายออกจากตลาดไปในช่วงโควิด-19 จากเดิมที่มีประมาณ 3,000 ราย ปัจจุบันเหลือเพียง 1,900 ราย สมาคมจึงมีแผนดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดเพื่อคงอุตสาหกรรมไว้ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สมาคมฯ ได้ริเริ่มโครงการ Young Professional Club เพื่อเปิดรับคนรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 30 ปี เข้ามาเป็นกำลังสำคัญ โดยจะมีกิจกรรม “Sandbox by TEA” ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงผลงาน นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งทีมเทคโนโลยีภายในคณะกรรมการเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญด้านการใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรม
อีกทั้งสมาคมฯยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายให้สมาชิกเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากอุตสาหกรรมอีเวนต์สร้างขยะจำนวนมาก สมาคมจึงเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมีแผนผลักดันให้สมาชิกสร้างมาตรฐานที่เป็นบวกต่อการจัดงานแสดงสินค้า
ในปีที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้จัดงานประกาศรางวัล TSEMS ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับงานที่มีการจัดงานอย่างยั่งยืนเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น
TMX Thailand 2026 ยกระดับ MICE
นอกจากนี้เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสมาคมฯ ร่วมกับพันธมิตรเตรียมจัดงาน “เทค-เอ็มเอ็กซ์ ไทยแลนด์ 2026” (TMX Thailand 2026) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและสัมมนาสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม MICE (การจัดประชุม, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การจัดประชุมวิชาชีพ, และงานแสดงสินค้า) ครั้งที่ 3 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 29-30 เมษายน 2569
งานนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “นวัตกรรมและความยั่งยืน” (Innovation and Sustainability) โดยมีไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ โซนนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Tech Zone) เน้นการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรม MICE และการจัดแสดงสินค้า เวทีสัมมนา (Conference) แบ่งเป็น 2 เวทีหลัก คือ เวทีกลยุทธ์การตลาด และเวทีสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรม และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติได้พบปะเจรจาธุรกิจ
นายลอยกล่าวว่า “งาน TMX จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการสร้างเครือข่ายและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมของเราให้ทัดเทียมกับระดับโลก โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว” นั่นเอง
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,125 วันที่ 24 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568