โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สตางค์ ตริษา กับบทพิสูจน์การเติบโตบนเส้นทางศิลปิน

THE STANDARD

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • thestandard.co
สตางค์ ตริษา กับบทพิสูจน์การเติบโตบนเส้นทางศิลปิน

“ถ้าใจเราแข็งแรงพอ เราจะยืนอยู่กลางพายุนั้นได้” นี่คือคำพูดจากหัวใจของ สตางค์-ตริษา ปรีชาตั้งกิจ ศิลปินหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของ BNK48 รุ่นที่ 2 และวันนี้ เธอกำลังยืนอยู่ในจุดที่เรียกว่า “การเริ่มต้นอีกครั้ง” บนเส้นทางสายดนตรีในฐานะศิลปินเดี่ยว

หลังจากใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการปรับตัว ลองผิดลองถูก และเรียนรู้โลกใบใหม่ โลกที่ไม่มีสคริปต์ ไม่มีตารางกิจกรรมจากวงอีกต่อไป ทุกอย่างต้องพึ่ง “หัวใจ” และ “ผลงานจริง” ของตัวเอง

ในบทสนทนานี้ THE STANDARD POP ชวนสตางค์มาพูดคุยแบบเปิดใจ จากความไม่มั่นใจ สู่ความเชื่อมั่นบนเส้นทางนักแสดง จากเด็กที่เคยพูดไม่เก่ง สู่ดีเจและนักร้องที่ต้องใช้เสียงนำทางฝัน

ทั้งหมดนี้คือการเติบโตของ “เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง” ที่ไม่เคยหยุดเชื่อในตัวเอง

และไม่เคยหยุดทำให้ผู้อื่นยิ้ม แม้บางวันจะมีพายุโหมกระหน่ำ

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สตางค์ได้ทำอะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย?

จริงๆ ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่วุ่นวายมากค่ะ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะว่างเสียอีก เพราะช่วงนั้นยังปล่อยเพลงไม่ได้ เลยใช้เวลาทำเพลง วางแผนโปรเจกต์ต่างๆ คุยเรื่องขอบเขตงานที่อยากทำ รวมถึงมีโอกาสได้ซุ่มถ่ายหนังด้วยค่ะ

ที่สำคัญคือ โชคดีมากที่มีคนเห็นโอกาสในตัวเรา แล้วชวนไปร่วมงานต่างๆ โดยเฉพาะการได้ไปทัวร์ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งเยอะมากจนทำให้ตารางแน่นแบบไม่ทันตั้งตัว กลายเป็นปีที่เหนื่อยแต่น่าตื่นเต้นมากๆ ค่ะ

ในความวุ่นวายนั้น เราได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ อะไรบ้าง ที่ไม่เคยเจอมาก่อน และรู้สึกว่าเป็นความท้าทายสำหรับชีวิตในบทใหม่?

แค่ได้ออกมาทำงานเดี่ยว แล้วมีโอกาสได้พบปะและพูดคุยกับแฟนคลับมากขึ้น ก็รู้สึกเหมือนได้ก้าวออกจาก comfort zone แล้วค่ะ เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่ในวง เราไม่ค่อยมีโอกาสได้ interact กับคนที่คอยสนับสนุนเรามากนัก พอได้ออกมาเจอพวกเขาจริงๆ ได้รู้ว่าบางคนที่จ้างงานเราคือแฟนคลับที่ติดตามเรามานาน ก็รู้สึกอบอุ่นใจมากๆ และแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน

อีกอย่างคือหนูได้ลองเล่นหนัง ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนเลยค่ะ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด ทั้งการร้องเพลงคนเดียวในโชว์ยาวๆ แบบ 45 นาที ที่ต้องร้องคนเดียว 9-10 เพลงติดกัน ซึ่งต่างจากตอนอยู่ใน BNK48 ที่ร้องเป็นทีม การทำแบบนี้มันทั้งยากและท้าทายมาก แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวและพยายามเรียนรู้จากพี่ๆ นักดนตรีที่มืออาชีพมากๆ เพื่อให้โชว์ออกมาดีที่สุดค่ะ

หลายคนที่เคยเป็นไอดอลมักบอกว่า การเดินบนเส้นทางนี้ต้องแลกกับช่วงวัยเด็กไปไม่น้อย พอได้กลับมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง สตางค์รู้สึกว่าได้ ‘เติมเต็ม’ ช่วงเวลานั้นกลับมาบ้างไหม?

เอาจริงๆ หนูรู้สึกว่าไม่ได้พักขนาดนั้นเลยค่ะ เพราะออกมาแล้วก็ยังวุ่นอยู่เหมือนเดิม (หัวเราะ) ที่เปลี่ยนคือ ตอนแรกคิดว่าออกมาจะสบายขึ้น เพราะไม่มีตารางซ้อมหรือกิจกรรมวงแล้ว คิดว่าเราจะจัดการชีวิตได้เอง

แต่พอมาอยู่ตรงนี้จริงๆ หนูกลับรู้สึกว่ามันหนักกว่าเดิมอีก เพราะทุกอย่างต้องจัดการเองหมด ต้องคิดตลอดว่า วันนี้เราว่างอยู่แต่ยังมีอะไรที่ต้องเคลียร์บ้าง สมมติว่าว่าง หนูก็จะนั่งทำเพลงต่อ มันเลยกลายเป็นว่าแทบไม่มีวันไหนที่รู้สึกว่า ว่างจริงๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้กลับมาจากการออกมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง คือการได้เจอเพื่อนมากขึ้น เที่ยวกับเพื่อนมากขึ้น ได้ทำสิ่งที่อยากทำในชีวิตประจำวันมากขึ้น อาจไม่ใช่การเติมเต็มช่วงวัยเด็กแบบที่หลายคนมอง แต่หนูก็รู้สึกว่าอย่างน้อย…เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ค่ะ

ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน สตางค์คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปยังไงบ้าง? แล้วอะไรคือสิ่งที่เราภูมิใจในตัวเองในเวอร์ชันตอนนี้?

สิ่งที่รู้สึกว่าภูมิใจมากๆ คือเรื่องการแสดงค่ะ ตอนที่ได้มาเป็นนักร้องก็ถือว่าดีใจมากอยู่แล้วนะคะ แต่พอได้มีโอกาสแสดงหนัง มันคืออีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้ลอง เพราะหนูไม่มีพื้นฐานด้านนี้เลย

ตอนที่ไปแคสต์ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เพราะเห็นรายชื่อคนที่มาแคสต์ด้วยแล้วคือแบบ…แต่ละคนคือท็อปของวงการทั้งนั้น เราก็คิดแค่ว่า “เราเป็นใคร” ไปแคสต์กับเขา แต่สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าได้โอกาสมาแล้ว เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด

สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากตรงนี้คือ ถ้าเราพยายามเต็มที่กับสิ่งที่ทำ วันหนึ่งมันจะมีคนเห็นความพยายามของเรา อย่างพี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) ที่เป็นคนให้โอกาสหนู เขาเห็นว่าหนูพยายามและตั้งใจจริงๆ เขาเลยเลือกให้หนูได้ลอง ซึ่งสำหรับหนูมันคือเรื่องที่น่าภูมิใจมากค่ะ

มาถึงอีกหนึ่งบทบาทใหม่ กับการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Attack วิญญาณเลขที่ 13 ในบท “อร” อยากให้เล่าหน่อยว่าเราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้อย่างไร?

ตอนนั้นมีคนติดต่อให้ไปแคสต์ค่ะ ซึ่งวันนั้นคนเยอะมาก และก็ไม่ได้เจอพี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) ด้วย แค่เข้าไปแคสต์ตามระบบเลย

ตอนแรกหนูแคสต์ในบท “บุษบา” แต่พี่คุ้ยเขามองว่าหน้าตาหนูดูสดใสเกินไป ไม่ค่อยเหมาะกับบทที่ต้องดูน่ากลัวหรือมีความโหด เขาก็เลยเสนออีกทางเลือกนึงให้ คือบทอื่นที่น่าจะเหมาะกับบุคลิกเรามากกว่า

ผ่านไปสักพัก พี่เขาก็โทรมาเสนอให้เลือกบทค่ะ ตอนนั้นมีสองบทให้เลือก คือ “หงส์” กับ “อร” สุดท้ายหนูเลือกบท “อร” เพราะรู้สึกว่าใกล้ตัวที่สุด ถึงแม้ตัวละครจะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เขาอยู่ในทุกฉาก เหมือนเป็นคนที่คอยสังเกต คอยอยู่ในเหตุการณ์ตลอด ก็เลยรู้สึกว่าบทนี้เข้ากับเราที่สุดค่ะ

พอรู้ว่าตัวเองได้บทแล้ว และจะต้องร่วมงานกับนักแสดงที่มีประสบการณ์มากมาย รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น?

เครียดตั้งแต่ตอนแคสต์เลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะหนูไม่ได้มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหนังเรื่องแรก ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่ เพราะการแสดงหนังกับซีรีส์มันต่างกันมาก หนังต้องเรียล ต้องเก็บรายละเอียดเยอะมาก

วันแคสต์ก็เจอคนเยอะ แล้วแบบ “เฮ้ย คนนั้นก็มาด้วยเหรอ?” เห็นแต่ละคนคือแบบโปรไฟล์สุดๆ ก็ยิ่งเครียดไปใหญ่ค่ะ

พอได้รับบทจริงๆ ก็ยิ่งกดดันหนักเข้าไปอีก เพราะพอเห็นรายชื่อในไฟล์ PDF วันแรกที่เปิดประชุมทีม เห็นเลยว่าในเรื่องนี้มีแต่นักแสดงที่เก่งๆ ทั้งนั้น เราเองยังใหม่มากๆ ก็แอบคิดเหมือนกันว่า “เราจะไปรอดมั้ยนะ?” แต่ก็พยายามเต็มที่ที่สุดค่ะ เพราะถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่ามากๆ

การได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีประสบการณ์หลากหลาย สตางค์รู้สึกว่าสิ่งนี้ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับเรายังไงบ้าง? หรือมีอะไรที่เราได้เรียนรู้จากนักแสดงท่านอื่นบ้างไหม?

สิ่งที่หนูรู้สึกชัดมากๆ คือ นักแสดงแต่ละคนมี “คาแรกเตอร์” ที่ไม่เหมือนกันค่ะ ทุกคนมีจุดแข็งเฉพาะตัว ซึ่งพี่คุ้ยเก่งมากที่สามารถมองออกว่าใครเหมาะกับบทไหน แล้วก็จับทุกคนมารวมกันได้อย่างลงตัว

ตอนเข้าฉาก หนูได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจากการดูคนอื่น เช่น บางคนก่อนเข้าซีนก็จะฟังเพลง บางคนก็มีวิธีเตรียมตัวเฉพาะตัว ซึ่งมันน่าสนใจมาก เหมือนได้แอบดูทริกของนักแสดงจริงๆ ว่าเขา “บิ้วตัวเอง” ยังไงก่อนแสดง

และที่ตกใจมากคือ ทุกคนดูเล่นกับหนูสบายๆ เหมือนเด็กๆ เล่นกัน แต่พอเสียงนับถอยหลัง 5…4…3…2…1 ทุกคนเปลี่ยนเป็นอีกคนทันที อินบทมากๆ แล้วก็จดบทได้เป๊ะโดยไม่ต้องมีใครเตือนเลย หนูแบบ “ว้าว!” มากค่ะ

มันทำให้หนูรู้สึกว่า เราเองก็ต้องกลมกลืนกับพวกเขาให้ได้ ต้องเล่นให้เนียนไปกับทุกคน ไม่ให้รู้สึกว่าเรายังใหม่ เพราะหนูเองก็มีความกังวลเหมือนกันว่าจะตามเขาทันไหม แต่พอผู้กำกับบอกว่า หนูแสดงได้กลมกลืนดีแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกว่าเราอินไปกับบทด้วย มันทำให้สบายใจมากเลยค่ะ

แล้วสำหรับบท “อร” เอง สตางค์เจอความท้าทายหรืออุปสรรคอะไรบ้าง? และรู้สึกว่าตัวละครนี้มีความเหมือนหรือต่างจากตัวเราจริงๆ อย่างไร?

พี่คุ้ยเคยบอกว่า “อร ก็คือสตางค์” ค่ะ เพราะตัวละครนี้เป็นคนสดใส ร่าเริง คล้ายๆ กับตัวหนูเลย แต่ในเรื่องอรจะเป็นคนน่ารักที่เพื่อนมักจะห่วง เพราะดูเปราะบาง ขี้ตกใจ ขี้ระแวงนิดๆ คือถ้าบุษบาจะมาแกล้งใครก่อน คนแรกก็คืออรเลยค่ะ (หัวเราะ)

อรเป็นคนที่รักเพื่อนมาก พร้อมจะตามเพื่อนไปทุกที่ ไม่คิดอะไรมาก พูดอะไรก็พูดออกไปตรงๆ หนูรู้สึกว่าส่วนนั้นคือความ “ใส” ที่หนูเข้าใจได้

แต่สิ่งที่ต่างกันชัดเจนคือ อรเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้ายืนหยัดเพื่อตัวเองเลย ถ้ามีใครมาขอให้ทำอะไร ก็จะยอมทำทันทีเพื่อให้เรื่องจบๆ ไป ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธ ไม่ค่อยสู้คน หนูก็เลยรู้สึกว่า…ตรงนี้แหละที่เราไม่เหมือนกัน เพราะตัวหนูจริงๆ แล้ว ถ้าไม่โอเคก็จะพยายามหาทางออกหรือยืนเพื่อตัวเองบ้างค่ะ

การสวมบทบาท “อร” พาเราไปเรียนรู้หรือเห็นอะไรในตัวเอง ที่ไม่เคยรู้มาก่อนบ้าง?

สิ่งหนึ่งที่หนูได้เรียนรู้เยอะมากคือเรื่อง “การบูลลี่” ค่ะ

ก่อนหน้านี้หนูไม่เคยคิดเลยว่าการบูลลี่จะโหดขนาดนี้ จนกระทั่งได้ลองเล่นฉากที่โดนแกล้งในเรื่อง ซึ่งตอนแรกหนูไม่รู้เลยว่าการแสดงฉากแบบนี้ต้องทำยังไง อย่างตอนที่ผู้กำกับบอกให้ลอง “จิกหัวเพื่อน” หนูก็แบบ… “ต้องทำยังไงนะ?” หนูไม่เคยโดน แล้วก็ไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลย หนูเลยดึงเบาๆ เพราะไม่กล้าทำแรง จนพี่คุ้ยยังขำเลยค่ะ (หัวเราะ)

แต่พอได้เห็นตัวอย่างจากนักแสดงคนอื่น มันแรงและจริงมาก หนูเลยได้เรียนรู้ว่าการบูลลี่มันรุนแรงกว่าที่เราคิดเยอะ โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่การบูลลี่ไม่ได้มาแค่คำพูด แต่มาในรูปแบบของการกระทำจริงๆ โดนจริงๆ เจ็บจริงๆ ซึ่งมันทำให้เข้าใจเลยว่า คนที่ตกเป็นเป้า มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

บางคนอาจจะบูลลี่เพราะเครียด หรือแค่ต้องการระบาย แต่ผลที่ตามมาคือชีวิตของอีกคนอาจพังลงจากการกระทำนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว หนูได้รู้เลยว่า ความเจ็บปวดจากการโดนบูลลี่มันฝังใจจริงๆ

สุดท้าย อยากให้น้องสตางค์พูดถึง “การบูลลี่” ที่ควรหยุด และไม่ควรมีอยู่ในสังคม

หนูรู้สึกว่าการบูลลี่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยค่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และไม่ควรเป็นสิ่งที่ใครต้องเจอ

แต่ละคนเกิดมาจากพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน การเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน บางคนที่บูลลี่คนอื่น หนูเชื่อว่าเขาอาจไม่ได้อยากทำจริงๆ แต่บางทีเขาก็มีปม หรือความเครียดที่ไม่ได้รับการจัดการ แล้วไปลงกับคนอื่น

หนูอยากให้ลองคิดดูว่า มันมีทางออกอื่นอีกไหม แทนที่จะระบายใส่คนอื่น เพราะคนที่โดน… เขาทรมานมาก บางทีคนคนนั้นอาจไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กลับรู้สึกว่า “เราทำอะไรผิดเหรอ?” ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันได้รับโอกาสจากคนที่บูลลี่

การบูลลี่อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนทำ แต่มันอาจกลายเป็นแผลใหญ่ในใจของอีกคน ที่ส่งผลกับชีวิตเขาไปตลอดก็ได้ค่ะ

พอได้เดินเข้ามาในเส้นทางนักแสดงแบบเต็มตัว สตางค์สรุปบทบาทตรงนี้กับตัวเองว่าอย่างไร?

หนูอยากพัฒนาสกิลด้านการแสดงให้มากขึ้นค่ะ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยได้เรียนแบบจริงจังเลย การที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ก็เป็นโอกาสที่มากะทันหัน ตอนนั้นไปแคสต์โดยไม่ได้คาดหวัง แล้วจู่ๆ ก็ได้บท แล้วก็มีเวลาเวิร์กช็อปแค่ 2-3 ครั้งก่อนถ่ายจริง หนูเลยรู้สึกว่ายังมีหลายอย่างที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติมค่ะ

อย่างเรื่อง “ร้องไห้ข้างเดียว” หนูอยากทำให้ได้มาก (หัวเราะ) หนูต้องบิ้วอารมณ์เยอะมากกว่าจะร้องออกมาได้ แต่เห็นบางคนแบบ แค่ 1 2 3 น้ำตาก็ไหลเลย แถมยังไหลข้างเดียวแบบสวยๆ ด้วย หนูแบบ “โห เขาทำได้ยังไงอะ?” ก็เลยอยากไปเรียนรู้เพิ่มเติม อยากพัฒนาทั้งเทคนิค ทั้งพื้นฐานของการแสดงให้แน่นขึ้นค่ะ

เพราะจริงๆ ตั้งแต่ได้ลองเล่นซีรีส์ หนูก็ชอบการแสดงมากๆ อยู่แล้ว แต่มันยังไม่มีโอกาสได้ลองทำอะไรจริงจังขนาดนี้ ครั้งนี้เลยเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูอยากไปต่อ และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

การได้ร่วมงานกับพี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) สตางค์ได้เรียนรู้อะไรบ้าง?

สิ่งที่หนูได้เรียนรู้มากที่สุดจากพี่คุ้ยคือ “การได้ลองเป็นตัวละคร ด้วยตัวของเราเอง” ค่ะ

พี่คุ้ยให้อิสระกับนักแสดงทุกคนมากๆ เขาไม่บรีฟละเอียด ไม่บังคับ ไม่ตีกรอบ แต่จะพูดแค่ว่า “คุณคิดยังไง ก็เล่นออกมาแบบนั้นเลย” ซึ่งมันดีมากนะคะ เพราะมันเหมือนเปิดพื้นที่ให้เราได้กลายเป็นตัวละครนั้นจริงๆ

ตอนแรกหนูก็กลัวเหมือนกัน เพราะพี่คุ้ยเป็นผู้กำกับที่ดูสุขุมนุ่มลึก พอเจอครั้งแรกก็แบบ… “เราจะเล่นยังไงดี?” แต่พอเขาบอกว่า “เล่นเลย” โดยไม่สั่งอะไรเลย หนูก็ทั้งกดดันและตื่นเต้น แต่พอได้ลองแสดงออกไปจริงๆ มันกลับทำให้หนูรู้สึกมั่นใจขึ้น

ความกล้าที่จะลองทำเองนี่แหละค่ะ ที่ทำให้หนูเหมือนได้พังกำแพงเล็กๆ ของตัวเอง และกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากเลย

ก่อนจะเข้าเรื่องเพลง ขอถามถึงอีกบทบาทหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ คือการเป็นดีเจของ Cat Radio จุดเริ่มต้นมาจากอะไร? แล้วมีความสนุกหรือความท้าทายอะไรบ้างที่คนฟังอาจไม่เคยรู้?

เริ่มต้นจากการเป็น Baby Cat ค่ะ เป็นเหมือนดีเจฝึกหัดที่ Cat Radio ชวนไปลองดู ตอนแรกก็ไปทดลองจัดรายการ เล่นๆ สนุกๆ แต่พอไปบ่อยเข้า เขาก็ชวนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่า… “นี่หนูกลายเป็น MC ของ Cat แล้วเหรอ?” (หัวเราะ)

มันเริ่มจากความที่หนูชอบพูดคนเดียวใน TikTok ค่ะ แล้วหลายๆ คนใน Cat ก็เห็นคลิป แล้วพูดกันว่า “ทำไมไม่ลองจัดรายการจริงๆ ดูล่ะ?” เหมือนพี่โปเต้เคยบอกว่ามันอาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพของหนูก็ได้ หนูก็เลยลองดู แล้วก็กลายเป็นว่าชอบจริงๆ ค่ะ

ตอนแรกตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยต้องพูดเยอะขนาดนั้นมาก่อน ปกติเป็นนักร้อง แค่ร้องตามเนื้อเพลงก็พอแล้ว แต่พอเป็นพิธีกรหรือดีเจ มันต้องพูดนานๆ ต้องพูดให้ลื่น ทั้งที่สคริปต์บางทีก็ทางการมาก แล้วเราต้องหาวิธีพูดให้มันไม่ดูแข็ง

ที่สำคัญคือ หนูเคยเป็นคนพูดไม่เก่งมากๆ เป็นคนไม่ค่อยตอบคำถามเวลาโดนถาม เป็นคน introvert มากๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องพูดเยอะขึ้นมาก (หัวเราะ) กลายเป็นว่าเรียนรู้อะไรเยอะมากจากการทำตรงนี้ ทั้งเรื่องการสื่อสาร การจับไมค์ และการเป็นตัวของตัวเองบนไมค์ด้วยค่ะ

ความสนุกของการเป็นดีเจ สำหรับสตางค์คืออะไร?

หนูชอบตรงที่ได้คุยกับคนผ่านออนไลน์ค่ะ ได้สัมภาษณ์ศิลปิน ได้เห็นมุมมองของแต่ละคน ซึ่งมันสนุกมากๆ อีกอย่างคือ…หนูได้ฟังเพลงเยอะขึ้นมาก! ปกติโลกของหนูค่อนข้างแคบ ไม่ค่อยรู้จักเพลงใหม่ๆ แต่พอมาเป็นดีเจ ก็ต้องคอยอัปเดตว่า “ตอนนี้เพลงไหนติดชาร์ต” หรือเพลงนี้มาแรงนะ ได้รู้จักเพลงหลากหลายมากขึ้นจริงๆ ค่ะ

และไม่ใช่แค่เพลงนะคะ ยังมีข่าว มีเรื่องราวต่างๆ ที่คอยสอดแทรกเข้ามาให้พูดในรายการ มันเหมือนทำให้หนูได้เปิดโลกเลย ถ้าไม่ได้มาทำตรงนี้ หนูก็คงยังอยู่ในโลกแคบๆ ของตัวเองเหมือนเดิม

การที่ได้ฟังเพลงเยอะขึ้นแบบนี้ มีผลกับการเป็นนักร้องอาชีพของเราบ้างไหม?

มีมากๆ เลยค่ะ หนูรู้สึกว่า…หนูได้ “ค้นพบตัวเอง” มากขึ้น

เวลาได้ฟังเพลงเยอะๆ ก็จะเริ่มจับสังเกตได้ว่า “เพลงนี้สไตล์แบบนี้เราชอบนะ” หรือ “ดนตรีท่อนนี้ดี บีทตรงนี้เจ๋ง” หนูก็จะเก็บไว้เป็นเรฟเฟอเรนซ์ ส่งต่อให้โปรดิวเซอร์ หรือทีมงานตอนทำเพลงของตัวเอง มันเหมือนเป็นการเก็บอินพุตที่ดีมากๆ เลยค่ะ

แล้วถ้าให้เลือกแนวเพลงที่ชอบที่สุดตอนนี้ สตางค์ชอบแนวไหน?

สมัยก่อนหนูชอบ Pop-Rock ค่ะ เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบอยู่นะคะ แต่เพิ่ม Synth-pop เข้ามาด้วย มีกลิ่นยุค 80s–90s หน่อยๆ แบบเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเท่ แล้วก็สนุก

อีกแนวที่ชอบมากคือแนวอะคูสติก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือน Taylor Swift เลยค่ะ ถึงจะผ่านไปกี่ปี ถ้าใครถามว่าชอบใคร หนูก็ยังตอบว่า “ชอบเทย์เลอร์อยู่ดี” ไม่เปลี่ยนเลยค่ะ!

ไปยังไงมายังไง เพลง ‘ยังไม่มีหรอก…แฟน’ ถึงกลายมาเป็นซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของสตางค์?

หลังจากแกรดออกจาก BNK48 ไม่นาน พี่บอย-ตรัย ภูมิรัตน ก็บอกว่า “พี่มีเพลงที่แต่งไว้ให้แล้วนะ” ซึ่งตอนนั้นหนูยังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เพราะชีวิตช่วงนั้นวุ่นมาก ปีที่แล้วคือแทบไม่ได้เริ่มอะไรจริงจังเลย พอเริ่มตั้งตัวได้ ก็กลับมาคุยเรื่องการทำเพลงกันอีกครั้ง

ต้นปีนี้ หนูกลับไปตามพี่บอยเรื่องเดโม แล้วก็มีพี่ๆ ศิลปินหลายคนส่งเพลงมาให้ฟังนะคะ แต่พอได้ฟังเวอร์ชันของพี่บอย หนูรู้สึกเลยว่า “เพลงนี้แหละ…มันต้องเป็นเพลงแรกของเรา” เพราะพี่บอยเป็นคนแรกที่ตั้งใจเขียนเพลงนี้ไว้ให้หนูจริงๆ ตั้งแต่ตอนแกรด เขาน่าจะเข้าใจตัวตนของเราชัดที่สุด

ตอนเปิดเดโมครั้งแรก เพลงร้องว่า “ยังไม่มีแฟนหรอก~” หนูก็แบบ “อ้าวพี่! พี่ไม่คิดว่าหนูจะมีแฟนเหรอคะ?” (หัวเราะ) แล้วพี่บอยก็บอกว่า เขาไม่ได้แต่งเพลงให้ใครมานานมากแล้ว หนูก็ยิ่งรู้สึกดีใจเข้าไปใหญ่เลยค่ะ

พอฟังเนื้อหาทั้งหมด หนูก็แบบ… เฮ้ย นี่มันชีวิตจริงหนูเลยนะ คนชอบถามว่า “มีแฟนหรือยัง?” ตลอดเวลา คือไม่รู้ว่าพี่บอยเขาแอบสังเกตหนู หรือไปสืบมาจากไหน เพราะไม่ได้คุยกันเลย แต่เขาเข้าใจหนูมากจริงๆ

เพลงต้นฉบับที่ได้มาเป็นเวอร์ชันกีตาร์โปร่ง แล้วหนูก็เอามายำใหม่ โดยให้พี่พีท-พีรพล ช่วยโปรดิวซ์ดนตรีตามแนวที่หนูอยากได้ หนูอยากได้กลิ่น Synth-pop ชัดๆ ก็เลยส่ง reference เพลงที่ชอบไปหลายเพลง บอกเลยว่า เอาแบบนี้นะ หนูชอบเพลงแบบนี้

ตอนอัดเสียงก็มีบางท่อนที่ไม่มีอยู่ในเพลงต้นฉบับ แต่หนูรู้สึกว่า ณ โมเมนต์นั้นมันอิน ก็เลยร้องไปแบบสดๆ ซึ่งทีมก็ชอบ เลยใส่ไว้จริงๆ กลายเป็นว่าเพลงนี้มีความเป็นหนูอยู่เยอะมาก

เอ็มวีก็เหมือนกันค่ะ หนูช่วยเสนอไอเดียตลอด อย่างตอนแรกที่ทีมวาง storyline มา หนูก็เสริมว่า “พี่ หนูขอใช้ไม้ถูพื้นได้ไหม” (หัวเราะ) เพราะรู้สึกว่าแบบนั้นมันเป็นหนูจริงๆ มันอ๊อง มันแปลก แต่มันก็เป็นตัวตนเรา

สิ่งที่หนูหวังคือ… ขอแค่คนที่เปิดดู MV แล้วได้รอยยิ้มกลับไป แค่นั้นก็พอแล้ว หนูไม่ได้คาดหวังว่าเพลงจะต้องเป๊ะหรือจะต้องดังขนาดไหน ขอแค่ให้คนฟังแล้วรู้สึกว่า “วันนี้เหนื่อยจัง พอดูเด็กอ๊องคนนี้แล้วหายเครียด” แค่นั้นคือความสุขที่สุดของหนูแล้วค่ะ

หลังจากปล่อยเพลง ‘ยังไม่มีหรอก…แฟน’ ออกมาแล้ว สตางค์รู้สึกอย่างไรบ้าง?

จริงๆ ก็ดีใจมากเลยค่ะ เพราะก่อนหน้านั้นเครียดมาก ยิ่งพอเวลาผ่านไปเป็นปีแล้วเพลงยังไม่ปล่อย คนก็เริ่มถามเยอะขึ้นว่า “เพลงจะปล่อยเมื่อไหร่?” “เมื่อไหร่จะได้ฟัง?” หนูเองก็รู้สึกกดดันและเคว้งมาก เพราะไม่รู้เลยว่าพอปล่อยไปแล้วจะมีคนฟังไหม เขาจะยังจำเราได้หรือเปล่า

ที่ตลกคือ เพลงนี้ชื่อว่า ‘ยังไม่มีหรอก…แฟน’ หนูก็เลยแบบ…เขินเหมือนกันนะเวลาจะฝากใครให้ไปฟัง (หัวเราะ) ก็เลยไม่ค่อยกล้าฝากใครเท่าไหร่ แค่ลงใน IG เงียบๆ

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ มีพี่ๆ หลายคนที่เห็นเพลงแล้วเข้ามาแสดงความยินดี ทั้งที่บางคนไม่ได้คุยกันมานานมาก บางคนก็เป็นพี่จากค่ายเก่า หนูยังแปลกใจเลยว่า “พี่รู้ได้ยังไงว่าเราปล่อยเพลง?” รู้สึกดีใจมากๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า…ยังมีคนที่ติดตามเราจริงๆ

ตอนแรกหนูคิดว่า…หรือว่าเราไม่มีแฟนคลับแล้วเปล่านะ? เพราะตอนนี้เราไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว เพลงก็เป็นแนวใหม่ที่อาจไม่ใช่กลุ่มเดิม แต่กลายเป็นว่ามีคนเข้ามาฟังเยอะกว่าที่คิด แล้วเขาก็ช่วยโปรโมทให้ด้วย หนูขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

บางทีแค่คอมเมนต์เดียว วิวเดียว หรือกดไลก์แค่หนึ่งครั้ง…มันก็เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับหนูนะคะ เพราะรู้สึกว่าเราตั้งใจทำสิ่งนี้ให้เขาจริงๆ

และถ้าใครรู้สึกว่ายังมีอะไรที่หนูควรพัฒนา ก็อยากให้บอกเลยนะคะ หนูพร้อมรับฟังฟีดแบ็กเสมอ และอยากทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

การได้ร่วมงานกับพี่บอย-ตรัย หนึ่งในศิลปินระดับแนวหน้าของประเทศ ให้ประสบการณ์อะไรกับสตางค์บ้าง ทั้งในฐานะนักร้อง และในฐานะศิลปินที่ยังมีเส้นทางอีกยาวไกล?

สิ่งที่หนูประทับใจในตัวพี่บอยมากๆ คือเขาเป็นตัวของตัวเองชัดเจนมากเลยค่ะ

สไตล์เพลงของพี่บอยคือพี่บอยจริงๆ ไม่ต้องพยายามอะไรเลย มันคือเขา หนูเลยคิดว่าการจะเป็นศิลปินที่ดีได้ เราต้องชัดให้ได้เหมือนเขา ต้องรู้ว่า “เราเป็นใคร” และอยากเล่าอะไรผ่านเพลงของเรา

สิ่งหนึ่งที่หนูได้เรียนรู้จากทั้งพี่บอย และจากการเริ่มต้นเส้นทางนี้เองก็คือ…

ผลลัพธ์มันสำคัญก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “กระบวนการ” ค่ะ

ตอนแรกหนูไม่เคยเข้าใจคำพูดของพี่นนท์-ธนน ที่เคยบอกว่า “Process สำคัญกว่าผลลัพธ์” คือเชื่ออยู่แล้ว แต่ไม่เคย “เห็นภาพ” จนกระทั่งได้ลงมือทำเพลงเองจริงๆ ถึงได้เข้าใจว่า กระบวนการทั้งหมด การได้พูดคุยกับโปรดิวเซอร์ การลองผิดลองถูก การปรับแก้ การสังเกตความรู้สึกของตัวเอง ทั้งหมดนั้นคือหัวใจของการสร้างงานที่เป็นตัวเรา

มันไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ออกมาดีอย่างเดียว แต่มันคือการได้ “ตกตะกอน” เพื่อให้เพลงนั้นเป็นเราจริงๆ

แล้วชีวิตการเป็นนักร้องอาชีพที่ไม่ได้มีเพื่อนอยู่ข้างหลังอีกต่อไป โดยเฉพาะเวลาต้องไปออกอีเวนต์ เจอคนเยอะๆ คนเดียว มันเป็นยังไงบ้าง?

ตอนแรกคือ “ไม่ไหวเลยค่ะ!” (หัวเราะ) เวทีแรกๆ หนูหัวใจเต้นตุบๆๆๆ ตลอดเวลาเลย

จำได้ว่าอาทิตย์แรกที่ไปเล่นโชว์ มีคนมาดูเยอะมาก เพราะหลายคนยังจำได้ว่าเรามาจากไหน มันก็เลยตื่นเต้นสุดๆ ยิ่งเวลาไปสครูทัวร์ตามต่างจังหวัด ยิ่งมีคนจำได้เยอะ เพราะเคยเจอกันตอน BNK48 ไปโร้ดโชว์ หนูก็แบบ “เขายังมาอยู่อีกเหรอเนี่ย?”

แล้วหนูต้องร้อง 8-10 เพลงต่อโชว์ แถมต้องพูดกับคนดูด้วย ตอนนั้นคือพูดไม่เก่งเลยค่ะ พูดก็ต้องพูด ร้องก็ต้องร้อง แล้วต้องจำเนื้อทุกเพลงอีก! (หัวเราะ)

บางเพลงก็เพิ่งเปลี่ยนเวอร์ชัน ต้องเปลี่ยนโหมดจากที่เคยร้องแบบทีม มาเป็นแบบเดี่ยว หนูเครียดมากเลยตอนนั้น แต่ก็พยายามสู้ค่ะ ซ้อมเยอะมาก พูดกับตัวเองว่า “ห้ามตายไมค์นะ!” แล้วก็พยายามจัดการเวลาให้ดี เพื่อจำเนื้อเพลงทั้งหมดให้ได้

เวลาที่ต้องเผชิญกับความกดดันหรือความตื่นเต้นบนเวที สตางค์มีวิธีจัดการกับมันอย่างไร?

อย่างแรกเลยคือ “ต้องมีสติ” ค่ะ หนูรู้ว่าตัวเองตื่นเต้น แต่เราต้องพยายามควบคุมมันให้ได้ ซึ่งตอนแรกหนูทำไม่ได้เลย เพราะรู้สึกว่าเรา “ใหม่” กับเวทีแบบนี้มากจริงๆ

สิ่งที่ยากที่สุดคือตัวเราเองนี่แหละค่ะ ไม่ใช่เสียงจากคนอื่น

คนรอบตัวพูดตลอดว่า “ยูทำได้อยู่แล้ว” แต่ในใจเรากลับพูดว่า “เราทำไม่ได้หรอก” เรากดดันตัวเองเยอะมาก โดยเฉพาะเวลาที่งานถาโถมเข้ามา แล้วต้องเร่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในเวลาจำกัด มันเลยเครียดมาก

หนูก็เลยตั้ง “ตารางซ้อม” ให้ตัวเองเลยค่ะ สมมติกลับถึงบ้านเที่ยงคืน หนูก็จะบอกตัวเองว่า “โอเค… เที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง ฉันจะต้องจำเพลงนี้ให้ได้” ถึงแม้วันนั้นจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องพยายามให้มันอยู่ในหัวให้ได้สักเปอร์เซ็นต์หนึ่ง เป็นแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่งเลยค่ะ

ตอนแรกๆ คนก็จะบอกว่า “ไม่ต้องเครียดหรอก ชิลๆ ได้” แต่หนูทำไม่ได้เลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าพอขึ้นไปอยู่บนเวทีแล้ว หนูไม่ชิลเลย…หนูซีเรียส เพราะอยากให้โชว์มันออกมาดีจริงๆ

สุดท้ายสิ่งที่ช่วยได้มากที่สุดก็คือ “สติ” นี่แหละ พอเรามีสติ เราจะเริ่มมองเห็นปัญหา แล้วค่อยๆ แก้มันไปทีละจุด พอรวมกัน มันก็จะเป็นโชว์ที่เราภูมิใจ

หนูมีประโยคหนึ่งที่ยึดถือไว้เสมอก่อนขึ้นเวที “จงเชื่อมั่นในตัวเองสักครั้งหนึ่ง แล้วมันจะเปลี่ยนคุณไปตลอดกาล”

หนูไม่รู้ว่าเริ่มพูดประโยคนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้สึกว่ามันใช้ได้จริงทุกครั้ง พอเราลอง “เชื่อ” ในตัวเองแม้จะยังไม่มั่นใจ มันจะพาเราไปได้ไกลกว่าที่คิดเสมอ

สุดท้ายแล้ว หนูเรียนรู้ว่า คนดูเขาไม่ได้มานั่งตัดสินหรือเป็นกรรมการแบบที่เคยเจอตอนประกวด เขาแค่อยากมาดูศิลปินที่เขาชอบ มาซัพพอร์ตเรา มาให้กำลังใจเรา

ถ้าเรากล้าที่จะเป็นตัวเอง ปลดความเครียดออก แล้วปล่อยให้ใจมันไหลไปกับโชว์

เขาก็จะเอ็นจอยกับเราได้เองค่ะ

หลังจากได้เข้ามาอยู่ในโลกของ “ศิลปินเต็มตัว” สิ่งที่สตางค์รู้สึกว่า “ได้” มากที่สุดจากเส้นทางนี้คืออะไร?

สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเลยคือ… “ความเป็นจริง” ของโลกศิลปินค่ะ มันไม่เหมือนตอนเป็นไอดอลเลย เพราะพอออกมาแล้ว คือไม่มีอะไรมารองรับเราอีกต่อไป ทุกอย่างต้องอยู่ได้ด้วย ผลงานจริงๆ เท่านั้น

ในวันนี้มีศิลปินเยอะมาก การจะอยู่ได้ หนูว่าคือคุณต้องโชว์ให้เห็น ว่าคุณมีอะไร

มันไม่ใช่แค่การเป็นที่รู้จัก แต่คือ คุณเก่งพอหรือยัง?

ก่อนที่หนูจะออกจากการเป็นไอดอล ก็เคยมีคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า “ยูทำไม่ได้หรอก” “ยูไปต่อไม่ได้หรอก” ตอนนั้นก็เจอบ่อยมากค่ะ

แต่หนูไม่โกรธใครนะ ไม่ได้ถือสาหาความ แต่ก็เก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ แล้ววันหนึ่ง…มันกลับกลายเป็นคำพูดจากคนเดิมๆ ว่า “อุ๊ย! ยินดีด้วยนะ” มันเหมือนทุกอย่างกลับตาลปัตรเลยอะ

ตอนนั้นหนูได้เรียนรู้ว่า ถ้าเราพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานจริงๆ ได้เมื่อไหร่ คำพูดทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเอง มันเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่มาก ถึงแม้เส้นทางนี้จะยาก ทั้งเรื่องฝีมือ ทั้งดวง ทั้งโอกาส แต่หนูก็เลือกจะเดินต่อ

เพราะหนูเชื่อว่า… ถ้าเราทำต่อไปทุกวัน ไม่ยอมแพ้ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สักวันหนึ่ง…เราจะกลายเป็นคนที่แข็งแรงพอจริงๆ ค่ะ

ตลอดปีที่ผ่านมา สตางค์ได้ลองจับหลากหลายบทบาท ทั้งการร้องเพลง การแสดง การเป็นดีเจ หรือแม้กระทั่งทำเบื้องหลัง แล้วตอนนี้ยังมีบทบาทไหนในวงการบันเทิงที่รู้สึกว่า “อยากลองมากๆ” ไหม? หรือมีความท้าทายอะไรที่รอให้เราไปพิชิตอยู่?

ตอนนี้หนูเริ่มเปิดใจมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมากเลยค่ะ เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าลองอะไรใหม่ๆ เพราะหนูอินโทรเวิร์ตมาก ไม่มั่นใจ ไม่กล้ารับโอกาส แต่พอได้ลองหลายอย่างแล้ว ก็เริ่มรู้สึกว่า… “เฮ้ย มันสนุกนี่นา!”

อย่างตอนนี้หนูได้เป็นฑูตด้วย แล้วก็รู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา หนูอยากลองอีก เพราะมันทำให้หนูได้เรียนรู้ตลอดเวลา และแต่ละอย่างที่ได้ทำ มันคือ “ศาสตร์” และ “ศิลปะ” ทั้งนั้นเลยค่ะ

ตอนที่เป็นไอดอล เราเรียนรู้เรื่อง performance แต่พอมาเป็นนักร้อง เราได้เรียนรู้เรื่อง “การสื่อสารผ่านเพลง” การแสดงก็ต้องสื่อสารผ่านตัวละคร การเป็น MC หรือดีเจก็ต้องใช้คำพูดให้ชัดเจนและเข้าถึง

ทุกอย่างมันโยงกันหมดเลยค่ะ แค่เน้นหนักคนละด้าน แล้วถ้าวันหนึ่ง หนูสามารถรวมทุกอย่างนั้นไว้ได้ทั้งหมด… หนูเชื่อว่า เราจะมีพลังของตัวเองที่แข็งแรงมากๆ ได้แน่นอน

สตางค์ในวันนี้ เดินทางมาไกลมาก จากเด็กหญิงที่เคยยืนบนเวที BNK48 จนกลายเป็นศิลปินที่ได้ทำเพลงในแบบของตัวเอง

ถ้ามีโอกาสหันกลับไปมองตัวเองในวันแรกของเส้นทางนี้… วันนี้คุณอยากบอกอะไรกับตัวเองคนนั้น หรือมีอะไรที่อยากขอบคุณตัวเองเป็นพิเศษไหม?

หนูอยากขอบคุณตัวเอง… ที่ “มองเห็นตัวเองอย่างชัดเจน” ขอบคุณที่ยังสู้ และยังตั้งเป้าหมายไว้ แม้จะมีหลายครั้งที่เกือบถอดใจ มันเคยมีช่วงเวลาที่เคว้งมากจริงๆ ไม่รู้ว่ากำลังเดินไปทางไหน หรือจะไปต่อยังไง

แต่หนูอยากบอกตัวเองในวันนั้นว่า “ขอแค่เชื่อมั่นในตัวเอง… แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ”

แค่ยังเห็น passion ของตัวเองในทุกๆ วัน แค่นั้นก็พอแล้ว ถึงแม้จะมีพายุโหมกระหน่ำแค่ไหน ถ้าใจเรายังแข็งแรงพอ เราก็จะยืนหยัดอยู่กลางพายุนั้นได้

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ หรือใครก็ตามที่เพิ่งได้รู้จัก “สตางค์” ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง

ก็อยากฝาก “น้องสตางค์-ตริษา” ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ (ยิ้ม)

ไม่ว่าจะเป็นแฟนๆ ที่อยู่ด้วยกันมานาน หรือพี่ๆ ที่เพิ่งผ่านมาเห็นแล้วอาจยังไม่รู้จัก

ทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ ไลก์ ทุกๆ คอมเมนต์ มีความหมายกับหนูมากๆ จริงๆ มันคือพลังที่ช่วยให้หนูเดินต่อ และเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างผลงานต่อไป

ขอบคุณที่ยังเอ็นดูเด็กคนนี้ และขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะคะ หนูจะตั้งใจทำทุกผลงานออกมาให้ดีที่สุด

เพื่อให้ทุกคนที่ได้ฟัง… มีความสุขที่สุด เท่าที่ “เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง” จะทำได้ค่ะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ 🙂

ฟังเพลง: Stang Tari – ยังไม่มีหรอก…แฟน

https://youtu.be/S9x1ZmYDTTA?si=Y8sjE29hyGd6OVBp

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

‘69 ชีวิตรอวันกลับบ้าน’ หลังอพยพหนีเหตุรุนแรงชายแดน จากปราสาทตาเมือน

16 นาทีที่แล้ว

มหากาพย์เรือดำน้ำสู่การอนุมัติใช้เครื่องยนต์จีน คำถามความปลอดภัย กับบทเรียนความผิดพลาดของกองทัพเรือ

35 นาทีที่แล้ว

เจาะลึกเศรษฐกิจ CLMV ปี 2025 SCB EIC เตือน ‘ภาษีสหรัฐฯ-สินค้าจีน’ แรงกดดันใหญ่ แต่ยังมีโอกาสซ่อนอยู่

41 นาทีที่แล้ว

ภูมิธรรม ส่งสารวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ยกย่องความเสียสละและความทุ่มเทดูแลประชาชน

59 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

เคล็ดลับบาลานซ์ชีวิตแบบผู้หญิงยุคใหม่! 1 ชั่วโมงต่อวันก็สุขภาพดีได้

sanook.com

ใจวายเฉียบพลันวันจันทร์ ภัยเงียบคร่าชีวิตผู้สูงอายุ จากความเครียดต้นสัปดาห์การทำงาน

The Momentum

‘ลบอีเมล’ วิธีประหยัดน้ำที่อังกฤษแนะนำ แถมช่วยลดปล่อย ‘ก๊าซคาร์บอน’

กรุงเทพธุรกิจ

Pedro Pascal ยอมรับว่าขโมยแซนด์วิชของ Joseph Quinn ระหว่างโปรโมต Fantastic Four: The First Step

THE STANDARD

เช็กลิสต์เมนูอาหารคุณแม่หลังคลอด เมนูไหนดี เมนูไหนควรเลี่ยงบ้าง

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อดีตบ้านของ Kate Moss ที่กรุงลอนดอนกำลังถูกขายในราคากว่า 255.8 ล้านบาท

THE STANDARD

เปิดแคมเปญ ‘เสิร์ฟเอส เชียร์ไทยให้ AWESOME’ หนุน การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025

กรุงเทพธุรกิจ
วิดีโอ

ขอท้าาา ให้คุณมาอัปสกิลพูดภาษาอังกฤษจนมั่นใจ ในครึ่งวัน #workshop #Englishworkshop #onsite #ฝึกภาษา

ฝรั่งอั่งม้อ

ข่าวและบทความยอดนิยม

GLOW UP GLAM UP กับบทสนทนาแห่งความทรงจำและการเติบโต

THE STANDARD

Sad Cupid เพลงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปจากยูนิตพิเศษ CGM48 ที่ได้ กอล์ฟ F.HERO ร่วมโปรดิวซ์

THE STANDARD

“ตอนมีหวังรู้สึกอย่างไร” บันทึกโดยพิธา จดจำโดยประชาชน The Almost Prime Minister

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...