'ยูโอบี' เร่งตุนสภาพคล่อง 'เงินหยวน' รับการใช้งานในอาเซียนพุ่ง
ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงก์ (UOB) ของสิงคโปร์ ระบุว่า กำลังเผชิญความท้าทายในการดำเนินงานจากการ "ขาดแคลนเงินหยวนในตลาดนอกประเทศ" เนื่องจากประเทศในอาเซียนกำลังหันมาใช้เงินสกุลนี้ในการค้า และการชำระเงินมากขึ้น
อัลเบิร์ต หยวน หัวหน้าฝ่ายธุรกรรมการเงินของยูโอบีประจำจีน และฮ่องกง กล่าวว่า เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเงินหยวน ยูโอบีซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่อันดับ 3 ในสิงคโปร์ ได้เพิ่มธุรกรรมการรับฝากเงิน ออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวน (แพนด้าบอนด์) และขยายการทำธุรกรรมในตลาดสวอปอัตราแลกเปลี่ยนให้มากขึ้น ทว่า "แม้เราพยายามอย่างเต็มที่ในการหาฝากเงินเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของธุรกิจ"
ปัจจุบัน มูลค่าการค้ารวมระหว่างจีน และอาเซียนราว 20% ใช้ "เงินหยวน" ในการทำธุรกรรม และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 เงินฝากในสกุลเงินหยวนนอกประเทศจีนมีเพียงประมาณ 1.5 ล้านล้านหยวน (ราว 6.8 ล้านล้านบาท) เมื่อเทียบกับเงินฝากในระบบธนาคารจีนแผ่นดินใหญ่ที่สูงถึง 321 ล้านล้านหยวน (ราว 1,450 ล้านล้านบาท)
ทั้งนี้ บริษัทต่างๆ เริ่มพิจารณาลดการพึ่งพาดอลลาร์ ท่ามกลางมาตรการภาษีของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค โดยกระแสอีคอมเมิร์ซ และการค้าในเอเชีย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเร่งการใช้เงินหยวน และผลักดันเทรนด์ “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” (de-dollarization) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ยูโอบีได้เข้าร่วมระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดนของจีน (CIPS) เพื่อช่วยเร่งการทำธุรกรรมของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงิน โดยมี "ธนาคารกรุงเทพ" (BBL) ของไทยเป็นหนึ่งใน 6 ธนาคารที่เข้าร่วม CIPS ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ซึ่งระบบนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เพื่อผลักดันการใช้เงินหยวนในระดับนานาชาติ
แม้จะเผชิญแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าโดยประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ต้นทุนการกู้ยืมของเงินหยวนที่ต่ำกว่าดอลลาร์ ยังช่วยหนุนการค้าในภูมิภาคให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้ารวมระหว่างจีนกับ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน พุ่งไปแตะใกล้ 6 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับทั้งปี 2567 ซึ่งที่อยู่ที่ 9.82 แสนล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจากกรมศุลกากรจีน
ยูโอบียังวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ SWIFT พบว่า การทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนใน "ไทย" และ"อินโดนีเซีย" เพิ่มขึ้นสูงถึงราว 70% ต่อปี ทั้งในปี 2566 และ 2567 และมองว่าตลาดสำหรับเงินหยวนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในทศวรรษหน้า
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์