โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ธุรกิจไหนเจ็บสุดถ้าไทยต้องยอมงดเก็บภาษีสหรัฐฯ?เวียดนามถอยสุดยังโดน20%!

Amarin TV

เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ธุรกิจไหนเจ็บสุดถ้าไทยต้องยอมงดเก็บภาษีสหรัฐฯ? เวียดนามถอยสุดซอย ยังโดน 20%!

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ “Liberation Day” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 พร้อมกับนโยบายการค้าระลอกใหม่ที่เข้มงวดและเร่งรัดมากขึ้น สหรัฐฯ ได้เร่งเดินหน้าเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าหลักทั่วโลกอย่างจริงจัง ท่ามกลางเป้าหมายชัดเจนในการลดการขาดดุลการค้าและจำกัดอิทธิพลของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก

ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม ซึ่งประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ได้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่ไทยไม่อาจมองข้าม เพราะเงื่อนไขในข้อตกลงฉบับนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเข้มงวดของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นสัญญาณว่า ประเทศใดที่ไม่พร้อมปรับตัวอาจต้องเผชิญภาษีที่สูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทเรียนจากเวียดนาม: ความยืดหยุ่นและต้นทุนที่ต้องจ่าย

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา เวียดนามพิสูจน์ให้เห็นว่า การบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องของการต่อรองอย่างแข็งกร้าวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพร้อม "เลือกเสียสละ" อย่างมีกลยุทธ์ เวียดนามยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาโดยไม่มีภาษี พร้อมทั้งยินยอมรับข้อเรียกร้องที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องการลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน และการเปิดให้สหรัฐฯ มีสิทธิเข้าควบคุมบางส่วนของกระบวนการตรวจสอบสินค้าอย่างใกล้ชิด

สิ่งที่ทำให้เวียดนามเดินเกมนี้ได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เพราะยอมถอย แต่เป็นเพราะเวียดนามมีโครงสร้างที่ "เอื้อ" ต่อการตัดสินใจรวดเร็วและการเจรจาที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน เวียดนามมี ขนาดการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่กว่าไทยเกือบเท่าตัว โดยเวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 137,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยส่งออกเพียง 66,010 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามมีอำนาจต่อรองสูงกว่า และเมื่อพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ เวียดนามคือพันธมิตรสำคัญที่สหรัฐฯ เลือกใช้ในการถ่วงดุลจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ เวียดนามยังได้เปรียบจากความสัมพันธ์เชิงธุรกิจในระดับผู้นำ ตัวอย่างที่สำคัญคือ การลงทุนของ Trump Organization ในโครงการรีสอร์ทหรู มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ใกล้กรุงฮานอย ซึ่งไม่ใช่แค่โครงการอสังหาริมทรัพย์ธรรมดา แต่กลายเป็น "เครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์" เชิงลึกที่เสริมบทบาทเวียดนามในสายตาสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

โจทย์ที่ซับซ้อนของไทย: เดินเกมบนเส้นด้ายที่เปราะบาง

อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามจะสามารถดำเนินการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว แต่ไทยกลับเผชิญโจทย์ที่ท้าทายและซับซ้อนกว่าอย่างชัดเจน หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีนในระดับสูง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งอาจกลายเป็นช่องทางที่จีนใช้ในการส่งสินค้าผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (Transshipment)

ในกระบวนการเจรจา สหรัฐฯ กำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดกับไทย โดยเสนอให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% เช่นเดียวกับที่เวียดนามยอมรับ พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทาน และเร่งแก้ไขปัญหาการไหลผ่านของสินค้าจีนผ่านไทย ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้

ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญกับภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย (32%) และมาเลเซีย (24%) แม้จะยังต่ำกว่าเวียดนาม (46%) และกัมพูชา (49%) แต่ภาระภาษีดังกล่าวกำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ายานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์เกษตร

ไทยยังเสียเปรียบในเชิงอำนาจต่อรอง เนื่องจากมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ มีขนาดเล็กกว่าเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 66,010 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามส่งออกมากกว่าเท่าตัวที่ 137,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยมีแรงกดดันและอำนาจต่อรองที่จำกัดกว่าคู่แข่ง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรการค้าของสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันในลักษณะเดียวกัน และหลายประเทศได้ "ถอย" ภายใต้ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เช่น

  • ญี่ปุ่น ไม่สามารถรักษานโยบายปกป้องอุตสาหกรรมข้าวในประเทศได้
  • แคนาดา ต้องยอมถอนข้อเสนอการจัดเก็บภาษีบริการดิจิทัล หลังถูกกดดันจากสหรัฐฯ
  • สหภาพยุโรป ยอมรับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ 10% แต่ยังคงเจรจาข้อยกเว้นสำหรับสินค้าสำคัญบางประเภทอย่างต่อเนื่อง

ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ไทยต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง บนเส้นทางที่ทั้งเปราะบางและเต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อทางเลือกที่ผิดอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจาก InnovestX ชี้ให้เห็นว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จะผูกพันอย่างแนบแน่นกับผลลัพธ์ของการเจรจานี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ฉากทัศน์ที่มีนัยสำคัญต่อ GDP ไทย ได้แก่

ฉากทัศน์ดีที่สุด: หากไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีเหลือ 10% ใกล้เคียงกับกรณีของสหภาพยุโรป ไทยจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ที่ 1.7% ในปี 2025 ได้ แม้โอกาสจะเกิดขึ้นเพียง 10% แต่ถือเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลไทยควรพยายามอย่างยิ่ง

ฉากทัศน์พื้นฐาน: หากการเจรจาสำเร็จเพียงบางส่วน ไทยต้องเผชิญภาษีในช่วง 15-20% ซึ่งจะทำให้ GDP ขยายตัวได้เพียง 1.1-1.4% ความเป็นไปได้ในกรณีนี้สูงถึง 60% และถือเป็นผลลัพธ์ที่ประเทศไทยต้องเตรียมตัวรับมือ

ฉากทัศน์เลวร้าย: หากการเจรจาล้มเหลว ไทยอาจเผชิญภาษี 25-37% ซึ่งจะส่งผลให้ GDP อาจหดตัวได้ถึง -1.1% หรือเติบโตเพียง 0.5% พร้อมผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวเกิน 10% ในครึ่งปีหลัง ความเป็นไปได้ในกรณีนี้อยู่ที่ 30% และมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อพิจารณาจากท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่มีต่อเวียดนาม

ผลกระทบในระดับอุตสาหกรรม: ใครได้ ใครเสีย

หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับเวียดนาม โครงสร้างเศรษฐกิจในหลายอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ บางภาคส่วนจะเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ขณะที่บางภาคส่วนจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและการเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่แข่งขันได้

1. ภาคเกษตรกรรม: กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด

หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ภาคเกษตรกรรมจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากไทยในปัจจุบันเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในระดับสูง

  • ข้าวโพด: ไทยเก็บภาษีนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% หากยกเลิกภาษี การนำเข้าข้าวโพดอาจเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศลดลง 15-25% เกษตรกรในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีต้นทุนการผลิตสูงจะได้รับผลกระทบโดยตรง
  • ถั่วเหลือง: ปัจจุบันเก็บภาษี 15-25% หากยกเลิกภาษี การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้นจาก 500,000 ตันต่อปี เป็น 1.5-2 ล้านตันต่อปี ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และน้ำมันพืชจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
  • เนื้อหมู: ไทยปัจจุบันห้ามนำเข้าเนื้อหมูสดจากสหรัฐฯ เนื่องจากสาร ractopamine แต่หากมีการปรับมาตรฐาน MRL การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้น 300-500% และราคาหมูในประเทศอาจลดลง 20-30% กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรอย่างหนัก
  • ผลไม้เมืองหนาว: ไทยเก็บภาษีนำเข้าผลไม้ เช่น แอปเปิ้ลและองุ่น ระดับ 30-50% หากยกเลิกภาษี การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้น 100-150% ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง แต่เกษตรกรไทยที่ปลูกผลไม้เมืองหนาวในพื้นที่สูงจะสูญเสียตลาด
  • ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป: สินค้าเช่น เบคอน แฮม และไส้กรอก ที่ปัจจุบันเสียภาษีนำเข้า 40-60% จะเข้าสู่ตลาดไทยในราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น กระทบผู้ผลิตไทยที่ยังเน้นต้นทุนสูง
  • ผลิตภัณฑ์นม: ปัจจุบันเก็บภาษี 15-35% หากยกเลิกภาษี ราคานมผงและผลิตภัณฑ์นมจะลดลง 80-120% ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมเบเกอรี่และขนม แต่เกษตรกรโคนมไทยจะได้รับผลกระทบ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: สินค้าเช่น Bourbon, Whiskey และ Craft Beer จากสหรัฐฯ ที่เคยเสียภาษี 200-300% จะเข้าสู่ตลาดไทยในราคาที่ถูกลง เพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตไทย

ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกษตรกรไทยบางส่วนต้องเปลี่ยนอาชีพหรือยุติการผลิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคเกษตรถึง 200,000-300,000 ตำแหน่ง

5. ภาคอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม: ความท้าทายของผู้ผลิตไทย

นอกจากภาคเกษตรกรรมแล้ว การยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม

  • เนื้อสัตว์แปรรูป: การนำเข้าสินค้าเช่น เบคอน แฮม และไส้กรอกจากสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก กดดันผู้ผลิตไทยที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อแข่งขันในเชิงคุณภาพ
  • ผลิตภัณฑ์นม: ราคานมผงและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ จะลดลงในตลาดไทย ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเบเกอรี่ แต่กระทบต่อเกษตรกรโคนมในประเทศ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การลดภาษีจะทำให้ Bourbon, Whiskey และ Craft Beer จากสหรัฐฯ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพิ่มการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มระดับพรีเมียม

2. ภาคยานยนต์และชิ้นส่วน: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่

ภาคยานยนต์ไทยจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง หากต้องยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ

  • รถยนต์ SUV และรถกระบะขนาดใหญ่: ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้า 60-80% สำหรับรถยนต์นั่ง และ 25-40% สำหรับรถกระบะ หากยกเลิกภาษี ราคารถยนต์แบรนด์อเมริกัน เช่น Ford, Chevrolet และ Ram ที่มีฐานการผลิตในเม็กซิโก อาจลดลง 30-40% ส่งผลให้ยอดนำเข้ารถยนต์ SUV ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 200-400% และผู้ผลิตไทยต้องปรับโครงสร้างการแข่งขันครั้งใหญ่
  • ชิ้นส่วนยานยนต์เทคโนโลยีสูง: ปัจจุบันเก็บภาษี 15-25% หากยกเลิกภาษี ผู้ประกอบการไทยจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ระบบ ADAS, เครื่องยนต์ EV และแบตเตอรี่ ในราคาที่ถูกลง ช่วยผลักดันอุตสาหกรรม EV ไทย

โอกาสใหม่: ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยเฉพาะ Tier 2 และ Tier 3 อาจได้รับโอกาสใหม่ในการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับแบรนด์อเมริกันที่เข้ามาลงทุน

3. ภาคเครื่องจักรและอุปกรณ์: โอกาสในการยกระดับเทคโนโลยี

ภาคเครื่องจักรไทยจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการยกเลิกภาษีนำเข้าเครื่องจักรจากสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 10-30%

  • เครื่องจักรการเกษตร: แบรนด์สหรัฐฯ เช่น John Deere, Caterpillar และ Case IH จะเข้ามาในราคาที่ถูกลง 15-25% ช่วยให้เกษตรกรไทยเข้าถึงเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เช่น ระบบ GPS และเครื่องจักรอัตโนมัติ คาดว่าการนำเข้าเครื่องจักรการเกษตรจะเพิ่มขึ้น 100-150%
  • เครื่องจักรอุตสาหกรรม: เครื่องจักร CNC หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และอุปกรณ์เทคโนโลยีสูงจะเข้าสู่ตลาดไทยในราคาที่ลดลง 80-120% ช่วยยกระดับประสิทธิภาพโรงงาน แต่ผู้ผลิตเครื่องจักรในประเทศจะต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะทางเพื่อรักษาตลาด

4. ภาคพลังงานและปิโตรเคมี: ลดต้นทุน เสริมความมั่นคง

การยกเลิกภาษีนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบปิโตรเคมีจากสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย

  • LNG และน้ำมันดิบ: ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ 5-10% หากยกเลิกภาษี ปริมาณการนำเข้าอาจเพิ่มขึ้น 200-300% หรือ 3-4 ล้านตันต่อปี ช่วยลดต้นทุนพลังงานและลดการพึ่งพิงตะวันออกกลาง
  • วัตถุดิบปิโตรเคมี: การนำเข้า Ethane และ Propane จากสหรัฐฯ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 150-250% ช่วยลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย

จากแนวโน้มผลกระทบเหล่านี้ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ จึงถือเป็น"จุดเปลี่ยน" สำคัญของเศรษฐกิจไทย สิ่งที่ไทยจะต้องเผชิญไม่ใช่แค่การเปิดตลาดหรือการเสียเปรียบเชิงภาษี แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ว่าจะบริหารสมดุลระหว่างการปกป้องภาคส่วนที่เปราะบางกับการสร้างโอกาสใหม่อย่างไร โดยรัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมกลยุทธ์ที่รอบด้าน ทั้งการวางแผนเจรจาเชิงรุก มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ

หากเดินเกมพลาด ไทยอาจต้องเผชิญภาษีที่สูงขึ้นและแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ฉุดรั้งการเติบโตในปี 2025 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเดินเกมถูก การเปิดตลาดครั้งนี้อาจกลายเป็น "ใบเบิกทาง" สู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยในเวทีโลกอย่างแท้จริง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

เปิดใจนักวาดการ์ตูน The Future I Saw ญี่ปุ่นลุ้นระส่ำแผ่นดินไหว 5 ก.ค.

33 นาทีที่แล้ว

รวบครูหื่น! ลักชุดชั้นในพยาบาลสูดดมจนหมดกลิ่น

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กูรูชี้อีก 5 ปี EV จีนอาจเหลือแค่ 15 จาก129 แบรนด์! เหตุแข่งราคาเดือด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นักวิชาการแนะไทยต้องปรับแนวคิด-การทูต ชาติต้องมาก่อนเมื่อรับมือกัมพูชา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

5 กลโกง มิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุด แนะวิธีป้องกันภัยไม่ตกเป็นเหยื่อ

เดลินิวส์

EXIM BANK พร้อมเดินหน้า “คุณสู้ เราช่วย“ เฟส 2

การเงินธนาคาร

ญี่ปุ่น ระบายสต๊อกข้าวสำรอง ฉุดราคาร่วงต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี

การเงินธนาคาร

50 ปีตลาดทุนไทย: สรุปสาระสำคัญจากงานสัมมนา ‘Legacy & Future : 50 Years of Thai Capital Market’

TODAY Bizview

’ศรีจันทร์‘ ส่ง ครีมกันแดดใหม่เขย่าตลาด 2 หมื่นล้านบาท

เดลินิวส์

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ จัดงาน Sky Career Festival ครั้งที่ 7 รับสมัคร”นักบิน ลูกเรือ”รองรับขยายเส้นทางบิน

Manager Online

พลังงานยันกัมพูชางดนำเข้าน้ำมันไม่กระทบไทย เผยส่งไปแค่วันละ 6 ล้านลิตร

ประชาชาติธุรกิจ

ความจริงโครงการแลนด์บริดจ์ ระยะทาง 89 กม. เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน | เงินทองของจริง

Ch7HD News - ข่าวช่อง7

ข่าวและบทความยอดนิยม

'ประธาน Fed' เผยลดดอกเบี้ยไม่ได้เพราะมี'ภาษีตอบโต้'เสี่ยงเงินเฟ้อพุ่ง

Amarin TV

ทรัมป์ย้ำไม่ยืดเส้นตายภาษี บีบคู่ค้าเร่งยื่นดีล 'ไทย' เตรียมคุย 3 ก.ค.

Amarin TV

ม.หอการค้าไทยหั่น GDPไทย เหลือ 1.7% กรณีฐานนายกฯอยู่ได้ทั้งปี 68

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...