ผู้ประกอบการประมงไทยเดือดร้อนแค่ไหน เมื่อแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้าน
แรงพายของภาคประมง
“แรงงานคนหนึ่งเขาเข้ามาแล้วเขาก็สามารถสร้างรายได้ให้เราได้ไม่น้อย บางคนบอกว่าเขาหอบเงินจากเราเข้าประเทศเขา แต่เราก็ได้เงินจากการทำงานของเขาเหมือนกันนะครับ”
นัท (นามสมมติ) ผู้ประกอบการประมง ในจังหวัดตราด เล่าสู่กันฟังท่ามกลางสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเรากำลังตกใต้ภาวะ ‘ขาดแรงงานเฉียบพลัน’ หลังจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของทหารไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดน
แม้ข้อมูลหลายแหล่งจะระบุตัวเลขแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศไม่ตรงกัน อาทิ สภาองค์การนายจ้างฯ ระบุว่า 60,000-70,000 คน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า 50,000-60,000 คน กลุ่มนายจ้างสีขาวระบุว่า 300,000-400,000 คน ทางการกัมพูชา ระบุว่าประมาณ 700,000 คน แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงสามารถอนุมานได้ว่า ณ เวลานี้หลายภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบกันอย่างหนัก เช่นเดียวกันกับภาค ‘ประมง’ ที่จำต้องแบกรับปัญหานี้ไว้ลำพัง
จากการพูดคุยกับนัท เขาสะท้อนว่า แรงงานกัมพูชากลับประเทศด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน ประการแรก จากกระแสข่าวลือจากทางกัมพูชาที่ว่าหากแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ที่ประเทศไทยไม่กลับบ้าน จะทำการยึดที่ดิน ยึดสัญชาติ และอื่นๆ แม้ว่าภายหลังจะมีการออกมาแก้ข่าวว่าไม่ใช่ความจริง แต่แรงงานหลายคนยังมีความกังวล ประกอบกับทางบ้านเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
อีกประการหนึ่ง คือ ข่าวคราวคนไทยไล่ทำร้ายคนกัมพูชาก็มีให้ได้ยินอยู่เนืองๆ จึงไม่สามารถละทิ้งความกลัวไปได้ เหตุผลในนามความปลอดภัยจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แรงงานกัมพูชาตัดสินใจเดินทางกลับประเทศ
“ของผมเป็นคนกัมพูชาล้วนๆ ร้อยกว่าคน แล้วก็มีคนไทยตามกฎหมายกำหนดคือลำละ 2 คน ตอนนี้คนของผมยังไม่กลับกันนะ แต่ก็มีหวั่นๆ เหมือนกัน เพราะตอนนี้ลำอื่นๆ คนของเขาทยอยกลับกันเยอะแล้ว คนของผมก็เริ่มมาขอกลับเพราะเขาก็โดนกดดันจากทางบ้านเขาด้วย แล้วก็กังวลเรื่องกลัวจะโดนทำร้ายร่างกาย”
ด้วยความตั้งใจที่จะให้ความอุ่นใจกับแรงงานของตัวเอง นัทประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้มาช่วยอธิบายให้แรงงานกัมพูชาเข้าใจว่า ข่าวสารใดบ้างที่เป็นเฟคนิวส์ และพยายามอัปเดตข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องแรงงานให้เขารับรู้และทำความเข้าใจด้วย
“เขาก็ถามว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นใครจะรับรองเขา ผมก็บอกเขาว่า พวกเราอยู่ที่นี่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีสิทธิและเสรีภาพเท่ากับคนไทย ไม่มีใครสามารถทำอะไรเราได้ หรือถ้าท้ายที่สุดมันเกิดขึ้นจริงๆ เช่น เราโดนทำร้ายร่างกาย เราก็สามารถแจ้งความเอาผิดได้ ผมก็บอกว่าผมพร้อมที่จะปกป้องเขา แต่เราไม่รู้ว่าเราจะต้านทานแรงเสียดทานได้ขนาดไหน”
นัทย้ำกับเราว่า อย่างไรเสียหากเห็นแก่เศรษฐกิจของประเทศก็จำเป็นอย่างมากที่ทุกคนต้องหนักแน่นว่า แรงงานกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งที่มาสร้างรายได้ให้กับประเทศ พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ริเริ่ม พวกเขาไม่ใช่ผู้กระหายอยากให้ความรุนแรงเกิดขึ้น
“มันเป็นเรื่องของคนบางคน เรื่องระหว่างรัฐ แรงงานกัมพูชาตัวเล็กๆ ไปเกี่ยวอะไรด้วย” นัทว่า
นัทเล่าว่าส่วนมากเรือประมงใหญ่ๆ จะออกเรือไปหาปลากันแถว อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนี้ในจังหวัดตราดมีประมงจำนวนไม่น้อยที่ต้องหยุดออกเรือ หรือเจ้าไหนที่มีปัญหาเรื่องแรงงานกัมพูชาขอกลับประเทศก็จะแล่นเรือกลับมาจอดกัน และจากการสังเกต พูดคุย ติดตามข่าวสารประมงของนัทพบว่า มีเรือกลับมาจอดหลายลำแล้ว
ประมงแต่ละประเภทจะใช้จำนวนคนแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นเรืออวนล้อมจับปลากะตัก ที่ใช้คนประมาณ 30-40 คน เรืออวนครอบ ประมาณ 10-15 คน เรืออวนลาก ประมาณ 5-7 คน หรือเรือเล็กๆ ประมงพื้นบ้าน 2-3 คน ต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้าทั้งนั้น
“ตอนนี้ทำยังไงก็ได้ที่ช่วยยับยั้งการไหลออกของแรงงานกัมพูชาก่อนได้ไหม แล้วก็สร้างความไว้วางใจให้แรงงานที่ยังอยู่ตอนนี้ เขามาทำงานเขาไม่ได้เป็นภัยความมั่นคงนะ ผมอยากให้รัฐจริงจังและจริงใจกับการทำความเข้าใจกับแรงงาน สร้างความอุ่นใจให้กับเขา สื่อสารกับเขาให้มากขึ้น”
ในสายตาผู้เดือดร้อน แรงงานไม่ได้หาง่าย
แจ๋ว (นามสมมติ) ผู้ประกอบการประมง จังหวัดตราด เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการที่แรงงานกัมพูชาย้ายกลับประเทศ เธอเล่าว่าปกติแล้วเธอจะมีแรงงานกัมพูชาอยู่ 1 ชุด ประมาณ 30 กว่าคน ซึ่งหากขาดใครคนใดคนหนึ่งไปจะไม่สามารถออกเรือได้เลย เพราะแต่ละคนมีตำแหน่งบนเรือที่ชัดเจน
“เราก็ยื้อเขานะ แต่เขาบอกว่าที่บ้านโทรมาบอกว่าอยากเห็นหน้าเขาก่อนตาย เขายืนยันแบบนั้นเราก็ห้ามอะไรเขาไม่ได้ เลยตกลงกันว่าจะออกเรือเที่ยวนี้ก่อนเป็นเที่ยวสุดท้าย แล้วจะวิ่งเรือกลับไปที่ตราดให้ เพื่อให้เขาได้กลับบ้าน หลังจากนั้นเราก็ต้องจอดเรือ เพราะเท่าที่คุยกันก็เห็นว่าเขาจะกลับกันหลายคนมาก”
หากประเมินเป็นตัวเงิน หลักล้านคือรายได้ที่แจ๋วจะสูญเสียไปในช่วงเวลาที่ต้องจอดเรืออยู่กับที่นิ่งๆ เวลาออกเรือแต่ละครั้งปลาที่ได้มาจะถูกส่งเข้าโรงงานน้ำปลา นั่นหมายความว่าโรงงานน้ำปลาก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอีกทอดหนึ่ง
“พอเขากลับไปก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อ ก็ต้องมานั่งคิดนั่งวางแผนกันใหม่ เพราะแรงงานทดแทนมันไม่ได้หาได้ง่ายๆ” แจ๋วเล่าต่อ
แจ๋วบอกเล่าประสบการณ์ให้ฟังต่อไปว่า ที่บ้านทำประมงมาตั้งแต่รุ่นพ่อรวมแล้วคงราวๆ 30-40 ปี ซึ่งส่วนมากแรงงานที่เข้ามาทำงานด้วยคือคนกัมพูชาเกือบทั้งหมด เธอเล่าว่าคนกัมพูชาที่มาออกเรือด้วยกันจะเคยทำอาชีพนี้อยู่ก่อนแล้ว หลายคนออกเรือที่ประเทศตัวเอง เมื่อเห็นว่าที่ไทยรายได้ดีกว่าจึงได้หันหัวเรือเข้าถึงมาทำงานด้วยกัน
ณ ตอนนี้ แม้แต่แรงงานที่คุยกันว่าจะไม่กลับ แจ๋วก็ไม่สามารถรู้ว่าเขาจะเปลี่ยนใจตอนไหน เพราะยังได้รับแรงกดดันจากทางครอบครัวอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงของทหารไทยและกัมพูชา
สำหรับคนที่ดูมีแนวโน้มว่าจะทำงานต่อ คือคนทำงานที่ไทยมานาน อยู่มาหลายปี เช่น 5 ปีขึ้นไปซึ่งแจ๋วเล่าว่า แรงงานเหล่านี้เขายืนยันหนักแน่นว่าไม่จะกลับประเทศ เพราะกลัวว่ากลับไปแล้วจะไม่มีงานทำ
“ตอนนี้ก็เดือดร้อนเนอะ ไม่มีแรงงาน เรือเราก็จอด แรงงานก็เดือดร้อนไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน เดือดร้อนกันหมด มีทางไหนบ้างไหมหรือทำยังไงก็ได้ให้กิจการเราและประมงคนอื่นๆ ออกเรือได้”
เครือข่ายแรงงานข้ามชาติยื่นข้อเสนอถึงรัฐ
จากปรากฏการณ์ที่แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศจำนวนมากครั้งนี้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group: MWG) มีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน โดยในประเด็นเร่งด่วนคือ
1. กระทรวงแรงงานควรออกประกาศ และประชาสัมพันธ์ยืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทยทุกประการ ควบคู่ไปกับการประสานงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเร่งดำเนินการในคดีที่มีการทำร้ายร่างกาย ข่มขู่คุกคามต่อแรงงานข้ามชาติอย่างเปิดเผย โดยสื่อสารสู่สาธารณะเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งดำเนินคดีอย่างจริงจังต่อกลุ่มที่เผยแพร่ข้อมูลความเกลียดชัง ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งไม่สนับสนุนกลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว
2. จัดตั้งสายด่วนแรงงานข้ามชาติในภาวะฉุกเฉิน ที่มีเจ้าหน้าที่ล่าม และทีมสนับสนุนภาคสนามจากกรมการจัดหางานและองค์กรภาคประชาสังคม และสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจให้นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ โดยทำหน้าที่ให้ข้อมูลแก่นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ รับเรื่องร้องเรียนในกรณีต่างๆ ประสานงานเพื่อดำเนินการในเรื่องเอกสารประจำตัวของแรงงานข้ามชาติ และประเด็นเรื่องสิทธิแรงงาน เช่น กรณีเลิกจ้าง ค่าจ้างค้างจ่าย เป็นต้น
3. ตั้งศูนย์เฉพาะกิจชายแดนที่แรงงานเดินทางออกช่วยเหลือแรงงานก่อนเดินทางกลับประเทศเพื่ออำนวยให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงกลไกการร้องเรียนและสิทธิตามกฎหมาย เช่น กรณีแรงงานเดินทางกลับโดยไม่ได้รับค่าแรง นอกจากนี้เครือข่ายยังพบว่ามีกรณีแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศแต่เอกสารประจำตัวอยู่ในความครอบครองของนายจ้างและหรือบริษัทจัดหางานอันเนื่องมากจากการดำเนินการทางเอกสารระหว่างประเทศ ทำให้แรงงานข้ามชาติที่ต้องการเดินทางกลับอย่างถูกต้องไม่สามารถดำเนินการได้
4. กระทรวงแรงงานควรพิจารณามาตรการการลดผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคการเกษตรในพื้นที่ชายแดน ของผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน โดยพิจารณาขอให้พิจารณาดำเนินการผ่อนผันการขออนุญาตทำงานสำหรับคนสัญชาติพม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ที่มีเอกสารหนังสือเดินทาง และได้รับการตรวจตราประเภทต่างๆ ทั้งที่ยังมีระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย หรือสิ้นสุดการอนุญาตแล้วก็ตาม โดยคณะรัฐมนตรีภายใต้การเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวใช้มาตรา 17 ของ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 14 และ 63/2 ในการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานตามฤดูกาลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีความต้องการเร่งด่วน
+มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน +
5. ขอให้รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พิจารณาดำเนินการจดทะเบียนผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติ พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างถูกต้อง สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราวไม่เกิน 2 ปี โดยพิจารณาให้ดำเนินการผ่านศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการหาแรงงานมาทดแทนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานข้ามชาติ
6. พิจารณาขยายระยะเวลาในการดำเนินการต่ออายุแรงงานกัมพูชาที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กันยายน 2567 และมติอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังจะสิ้นสุดการดำเนินการในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาอีกจำนวนมากยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันเนื่องจากความล่าช้าในการออกเอกสารรับรองจากประเทศต้นทาง และการไม่สามารถดำเนินการจัดทำเอกสารหนังสือเดินทางเล่มใหม่ได้ จากสถานการณ์การปิดด่านชายแดน และการยุติความสัมพันธ์ชั่วคราวทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชา จึงควรพิจารณาขยายเวลาการดำเนินการออกไปอีก 6 เดือนจนถึง 13 กุมภาพันธ์ 2569 เช่นเดียวกับ แรงงานจากพม่า และพิจารณายกเว้นการตรวจจลงตราวีซ่าไปก่อนตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน เพื่อป้องกันไม่แรงงานกัมพูชาหลุดระบบกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของนายจ้างและแรงงานข้ามชาติ
7. พิจารณาผ่อนผันให้แรงงานกัมพูชาที่นำเข้าตาม MOU ที่กำลังสิ้นสุดการได้รับอนุญาตให้ทำงานเนื่องจากทำงานครบเงื่อนไข 4 ปี ในประเทศไทยแล้ว กระทรวงแรงงานควรเร่งออกมาตรการการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานกลุ่มนี้ โดยพิจารณาการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวในประเทศไทยเพื่อป้องกันแรงงานหลุดจากระบบอันเนื่องมาจากเงื่อนไขกระบวนการนำเข้าแรงงาน
มาตรการรองรับการบริหารการจัดการในระยะกลาง และยาว
8. กำหนดมาตรการรองรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงาน โดยพิจารณาตั้งจุดประสานงานชั่วคราว ณ ด่านชายแดนหลัก สำหรับแรงงานที่ประสงค์เดินทางกลับเข้ามาสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า หรือให้นายจ้างแจ้งความประสงค์ต่อกระทรวงแรงงาน/สำนักงานจัดหางานในพื้นที่โดยให้เสนอมีมติคณะรัฐมนตรีให้ เปิดช่องทางพิเศษ (Fast Track) สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยมีประวัติทำงานในไทย ใช้ฐานข้อมูลเดิมเพื่อลดเวลาและต้นทุนในกระบวนการเดินทางกลับเข้ามาทำงานอย่างเป็นระบบ และยกเว้นการขอรักษาสิทธิวีซ่า (Re-entry visa) ให้แก่แรงงานกัมพูชาที่เดินทางออกนอกประเทศไปในช่วงการสู้รบ เพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกในการกลับเข้าประเทศและมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
9. กระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางความร่วมมือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการเพื่อรักษากำลังแรงงานไว้ในประเทศกระทรวงแรงงานควรพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาแก่นายจ้างที่ได้รับผลกระทบและความเสียหาย ทั้งจากการสู้รบและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติ ดำเนินการเจรจาลดขั้นตอน ลดค่าธรรมเนียม และอำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานภายใต้ระบบ MOU เพื่อให้กระบวนการจ้างงานมีความคล่องตัวและเป็นธรรมมากขึ้น ในเบื้องต้น เสนอให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาและพัฒนาแนวทางการนำเข้าแรงงานตาม MOU ภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่มีหน้าที่ศึกษา และจัดทำข้อเสนอแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงบันทึกข้อตกลง MOU กับประเทศต้นทาง รวมทั้งมาตรการและแนวทางที่จะทำให้การนำเข้าแรงงาน MOU มีสะดวก รวดเร็ว และต้นทุนต่ำ
10. กระทรวงแรงงานควรพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับพื้นที่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนผู้ประกอบการและเกษตรกรที่จ้างแรงงานข้ามชาติ ภาควิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อทำหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่กระทรวงแรงงานและรัฐบาลต่อไป ในระยะยาวกระทรวงแรงงานควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการแบบกึ่งกระจายอำนาจเพื่อให้จังหวัดบริหารจัดการตัวเองตามสถานการณ์และประเด็นเฉพาะของแต่ละพื้นที่
ภาครัฐตอบสนองปัญหานี้อย่างไร?
กระทรวงแรงงานประกาศแนวความเห็นเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานแบบฉับพลัน โดย พงษ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอนุมัติบันทึกความร่วมมือในการจัดหาแรงงานศรีลังกามาทดแทน
พงษ์กวิน กล่าวต่อว่า ขณะนี้ศรีลังกาเป็นประเทศที่มีความพร้อมสามารถส่งแรงงานมาได้ทันที 10,000 ราย ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยแล้วกว่า 30,000 ราย โดยรัฐจะนำแรงงานกลุ่มนี้เข้ามาเสริมแทนแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศ นอกจากนี้ยังมีแรงงานในกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถดึงเข้ามาเติมเต็มในระบบได้ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเนปาล อย่างไรก็ตามทั้ง 3 กลุ่มประเทศนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะสามารถส่งแรงงานมายังประเทศไทยได้
ทางด้าน นัท ผู้ประกอบการประมง จังหวัดตราด ที่ให้ข้อมูลกับเรา แสดงความเห็นว่า หากมีการจัดหาแรงงานศรีลังกาเข้ามา จะช่วยภาคอื่นๆ ได้หรือไม่นั้นไม่แน่ใจ แต่เขาค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่า ไม่ได้ตอบสนองกับปัญหาของภาคประมง
“จริงๆ รัฐพูดมานานแล้วที่ว่าจะเอาแรงงานศรีลังกาเข้ามาทดแทนแรงงานพม่า แรงงานกัมพูชาในไทย แต่ไม่เคยทำได้เลยสักที ถึงเข้ามาจริงๆ เขาก็ไม่ลงเรือทำประมงอยู่ดี เพราะคนกัมพูชาหรือกระทั่งคนพม่าที่มาทำประมงบ้านเรา ส่วนใหญ่เขาเคยออกเรือกันเป็นปกติอยู่แล้ว” นัทกล่าว
อาจตั้งคำถามต่อไปได้อีกว่า การที่รัฐนำเข้าแรงงานศรีลังกา เพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนแรงงานแบบฉับพลันตอนนี้ ได้คำนึงว่าแรงงานกลุ่มนี้เหมาะกับอุตสาหกรรมใดหรือไม่ หากไม่ได้ใส่ใจรายละเอียด ณ จุดนี้ การพยายามแก้ปัญหาก็อาจจะยังไม่ทั่วถึงมากพอ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีสถานะถูกต้อง โดยผ่อนผันให้แรงงาน 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทาง ซึ่งหมดอายุแล้วหรือมีรอยตราประทับ แต่การอนุญาตทำงานหรือการอยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงและไม่ได้เดินทางออก (overstay) รวมถึงกรณีที่ยังไม่หมดอายุการอนุญาต แต่ทำงานกับนายจ้างโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถอยู่และทำงานได้ชั่วคราว
ทั้งนี้ยังครอบคลุมแรงงาน 3 สัญชาติ คือ กัมพูชา ลาว และพม่า ที่ลักลอบเข้าเมืองก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ และประสงค์จะทำงานในประเทศไทย โดยอนุญาตให้อยู่และทำงานได้เป็นการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี
ทั้งหมดคือมาตรการที่รัฐตอบสนองต่อปัญหา หลังจากแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศไปจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเร่งนำเข้าแรงงานจากศรีลังกา หรือการผ่อนผันแรงงานเพื่อนบ้านที่มีสถานะไม่ถูกต้องให้สามารถอยู่และทำงานได้ชั่วคราว ซึ่งยังต้องจับตาต่อไปว่าจะสามารถหาแรงงานมาเติมเต็มได้เพียงพอหรือไม่ และอาจต้องควบคู่ไปกับการสร้างหลักประกันด้านสิทธิ ความปลอดภัย และระบบบริหารจัดการที่เป็นธรรม
ยังมีประเด็นเร่งด่วนที่ทั้งผู้ประกอบการ หรือกระทั่งแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในประเทศไทยอยากให้รัฐทำนอกเหนือจากการหาแรงงานมาทดแทน คือ ‘สร้างความอุ่นใจ’ เพราะเสียงสะท้อนจากทั้งนายจ้างและลูกจ้างชาวกัมพูชาที่ยังทำงานอยู่ขณะนี้ย้ำตรงกันว่า ความกังวลเรื่องการถูกคุกคามหรือทำร้ายร่างกายยังคงเป็นจริง รวมถึงมีความกังวลว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำงานจากรัฐไทยด้วย ซึ่งความกังวลนี้ได้สะท้อนผ่านข้อเรียกร้องของเครือข่ายแรงงานข้ามชาติต่อกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่าทางการไทยควรออกมา ‘ยืนยัน’ ว่าแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทยทุกประการ
อ้างอิง:
ตัวเลขไม่ตรง ! “แรงงานกัมพูชา” กลับประเทศไปกี่คนกันแน่ ? | BUSINESS WATCH
เครือข่ายด้านประชากรข้ามชาติ จี้ รมว.แรงงาน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานกัมพูชา | The Active
บทความต้นฉบับได้ที่ : ผู้ประกอบการประมงไทยเดือดร้อนแค่ไหน เมื่อแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้าน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- อนุสัญญาออตตาวา ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ข้อตกลงหยุดยิงถูกทำลาย
- ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 11-16 สิงหาคม 2568
- อินสตาแกรมเปิดฟีเจอร์แผนที่ ระบุตำแหน่งของเราในที่สาธารณะได้ สร้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath