โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เรื่องราวไม่ธรรมดาของวงดนตรีนามว่า ‘Massive Attack’ ขับขานเรื่องคนพลัดถิ่น ยืนหยัดต่อต้านสงคราม และพลิกวงการดนตรี

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

แคริบเบียน ภูมิภาคที่ยังต้องดิ้นรนจากการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่

ในช่วงทศวรรษที่ 50 และ 60 คนพื้นถิ่นจากภูมิภาคแคริบเบียนได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดในหมู่เกาะแคริบเบียนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งในอเมริกาและยุโรป ปัจจัยสำคัญมาจากการที่รัฐบาลอังกฤษได้เชิญให้ชาวแคริบเบียนมาทำงานใช้แรงงานและฟื้นฟูบ้านเมือง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบที่ได้รับอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่สอง การอพยพนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Windrush

คำเชิญชวนนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบรุกคืบของสหราชอาณาจักร โดยภาครัฐให้คำมั่นสัญญาว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวบนผืนดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของโลกและสถาปนาตัวเองว่าเป็น ‘แผ่นดินแม่’ คำกล่าวอ้างนี้แฝงโฆษณาชวนเชื่ออยู่กลายๆ เพราะถึงแม้ว่าสหราชอาณาจักรจะมอบเอกราชคืนให้กับบางประเทศในหมู่เกาะแคริบเบียนไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรอยู่ การเชิญคนพื้นถิ่นจากประเทศในกลุ่มแคริบเบียนมาอยู่ในหลายเมืองทั่วประเทศอังกฤษก็ถือเป็นการใช้อำนาจละมุนเพื่อให้ชาวแคริบเบียนได้รับเอกราชแบบนามธรรมเท่านั้น หาใช่เป็นแบบรูปธรรมไม่

นี่คือการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ (Neocolonialism) ของสหราชอาณาจักรในช่วงเวลานั้น ซึ่งก่อให้เกิดสังคมร่วมสมัยในบางเมืองที่มีผู้อพยพย้ายไปอยู่ซึ่งมีการผสมผสานและการรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันชาวแคริบเบียนพลัดถิ่นเหล่านี้ก็ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบวัฒนธรรมอังกฤษเช่นกัน

บริสตอล เมืองที่ใช้ศิลปะในการทำปฏิวัติปฏิปักษ์

บริสตอล (Bristol) เป็นเมืองที่ชาวแคริบเบียนย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางอุตสาหกรรม ในอดีตเรือพาณิชย์ที่แล่นจากบริสตอลไปยังแอฟริกาส่วนมากจะนำสินค้าไปแลกกับทาส หลังจากนั้นก็แล่นเรือไปยังแคริบเบียนก่อนที่จะนำสินค้าที่ส่วนมากเป็นน้ำตาล, กาแฟ, ยาสูบ, และเหล้ารัมกลับมายังอังกฤษอีกทอดหนึ่ง

คนพื้นถิ่นจากแคริบเบียนที่มาอยู่อาศัยในเมืองบริสตอลยุค Windrush มีทั้งชาวจาไมกา, บาร์เบโดส, โดมินิกา, เซนต์คิตส์และเนวิส, ตรินิแดดและโตเบโก และ เซนต์ ลูเซีย สิ่งที่ชาวแคริบเบียนมีเหมือนชาวแอฟริกันก็คือ ‘ความหลงใหลใฝ่ฝันในเสรีภาพ' เพราะต่างก็ตกเป็นทาสให้กับประเทศเจ้าอาณานิคมไม่ต่างกัน การฝันถึงเสรีภาพ, ความเท่าเทียม และความยุติธรรมมีอิทธิพลเชิงวัฒนธรรมสูงกว่าทักษะเชิงช่างของชาวแคริบเบียนไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อเรือหรือว่าการเดินเรือ เพราะมันถูกส่งผ่านงานศิลปะหลายแขนง มีชาวแคริบเบียนพลัดถิ่นที่สร้างชื่อด้วยการทำงานศิลปะจนกลายเป็นศิลปินระดับโลกหลายคน และถึงแม้ว่าวิธีในการสร้างสรรค์ผลงานจะแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นเดียวกันนั่นก็คืออัตลักษณ์ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของชาวแคริบเบียนตั้งแต่ยังเป็นทาสจนเป็นไทในทุกวันนี้

ศิลปินชาวแคริบเบียนที่นับว่ามีชื่อเสียงในระดับโลกมีอาทิ เอ็ดสัน เบอร์ตัน, แอนน์-แมรี เจมส์ และ ไอยา อาบูบาคา โดยงานศิลปะที่พวกเขาสร้างสรรค์ออกมามีทั้งภาพจิตรกรรม, ประติมากรรม, ศิลปะสื่อผสม ส่วน Banksy ศิลปินปริศนาที่สร้างสรรค์งานศิลปะแบบสตรีทอาร์ตสะท้อนปัญหาสังคมในบริสตอล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชาวแคริบเบียน แต่งานกราฟฟิตีของ Banksy หลายชิ้นก็ส่งอิทธิพลต่อศิลปินชาวแคริบเบียนท้องถิ่นรุ่นใหม่ ที่เรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้อพยพและคนพลัดถิ่นเป็นจำนวนมาก

จุดกำเนิดของ Bristol Sound และดนตรีทริปฮอป

แน่นอนว่าศิลปินนักดนตรีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น Bristol Music Scene ถือเป็นวัฒนธรรมดนตรีทางเลือกที่มีความโดดเด่นทางอัตลักษณ์สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นถึงปลายทศวรรษที่ 90 ซึ่งหากสำรวจวัฒนธรรมแคริบเบียนผ่านโครงสร้างดนตรีแนวทริปฮอป (Trip Hop) ตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำแล้วก็จะพบว่า สายธารแห่งสรรพเสียงในดนตรีแนวนี้ล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันนั่นคือต่อสู้กับการกดขี่ทางสังคม เชื้อชาติ และความอยุติธรรม

ดนตรีแนวนี้บอกเล่าเรื่องราวผ่านความหนึบลึกของเสียงเบสในย่านความถี่ที่ต่ำกว่าปกติ รวมถึงการใช้ศักยภาพของเสียงจากเครื่องเคาะ (Percussive) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีอนาล็อกหรือว่าดิจิตอล ทริปฮอปถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางยุค 80 แต่ยุครุ่งเรืองที่สุดของดนตรีแนวนี้อยู่ที่กลางยุค 90 จุดเด่นของทริปฮอปคือเสียงเบสในย่านเสียงที่ลึกและต่ำ ช้าและหนัก ส่งผลให้ดนตรีแนวนี้เป็นหนึ่งในตระกูลดนตรี Bass Music ยุคบุกเบิกที่ภายหลังพัฒนาไปเป็นดนตรีเต้นรำร่วมสมัยอย่าง Dubstep, Drum & Bass ไปจนถึง New Skool Breaks

ทริปฮอป เป็นดนตรีที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในความมืดมิด ด้วยจังหวะที่เนิบช้าราวๆ 80-110 BPM แต่ในขณะที่กำลังก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง บรรยากาศของดนตรีดับ (Dub) และ เร็กเก กลับทำให้เท้าที่เคยยืนอยู่บนผืนดินค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ความลึกลับของมัน ทำให้ในชั่วพริบตาเราก็เหมือนได้มาอยู่กลางห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ล่องลอยอยู่ในความไร้ขอบเขตของจักรวาล มองไปรอบข้างไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด แต่ด้วยเมโลดีที่ไพเราะแต่หม่นเศร้าทั้งจากการใช้ Sampling ไปจนถึงเสียงที่มาจากจังหวะกลองและ เอฟเฟกต์อย่าง Reverb, Delay หรือ Echo ซาวด์เหล่านี้เป็นดั่งแสงกระพริบจากดวงดาวในกาแลกซี่อื่นอันไกลโพ้น เป็นความเหงาอย่างสุดขั้ว แต่ในขณะเดียวกันก็สวยสดงดงามจับใจ

นี่คือดนตรีที่สร้างความรู้สึกหม่นเศร้าอย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกันกับความยินดีปรีดาต่อความงดงามในจุดที่มองเห็นได้ยากที่สุด เหมือนเราท่องอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่ไร้ขอบเขตในจักรวาลอันไกลโพ้น

นี่คือเสน่ห์ของทริปฮอป

Daydreaming

Daydreaming ซิงเกิลแรกใน Blue Lines เดบิวต์อัลบั้มของวง Massive Attack วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมปี 1990 มันกลายเป็นเพลงที่กำหนดทิศทางของดนตรี Black British Music Scene ในหลายมิติ เนื่องจากความสดใหม่ของวัฒนธรรมดนตรี Bristol Sound และการนำดนตรีพื้นถิ่นจากแคริบเบียนมาผสมผสานกับเนื้อหาที่ขุดลึกถึงรากเหง้าของคนพลัดถิ่น ผู้คนที่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างเหนื่อยยาก หรือทั้งร่างกายจะเต็มไปด้วยแผลเป็น แต่ความเป็นนักสู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยสหราชอาณาจักรยังไม่เลิกทาส ก็ทำให้ชาวแคริบเบียนฟื้นตัวได้เร็ว

เนื้อหาของบทเพลงถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบการแร็ปและการแสดงออกผ่านคำพูด (Spoken Word) ที่สะท้อนถึงการใช้ดนตรีเป็นเครื่องบำบัดเยียวยาจากวิถีชีวิตของคนพลัดถิ่นที่ถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่ากดขี่ และเหยียดเชื้อชาติ

วง Massive Attack เชื่อว่าพลังของดนตรีที่ไม่เข้าพวกกับถิ่นที่พวกเขาอาศัยอยู่ จะช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน และช่วยให้คนนอกเข้าใจวัฒนธรรมของพวกเขา ผ่านดนตรีพื้นถิ่นที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ และเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขามาตั้งแต่ยังอาศัยอยู่ในแคริบเบียน

การนำเพลง Mambo ของศิลปินแอฟริกันตะวันตก วิลลี บาดารู มาใช้เป็นแซมเพิลในเพลงนี้ช่วยให้ท่อนแร็ปมีมิติมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือทำนองเพลงโซลที่ถือเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณของชาวแอฟริกันมาโดยตลอด

Bristol Sound ที่วง Massive Attack เป็นผู้บุกเบิกมีความสำคัญมากกว่าแนวดนตรีแนวหนึ่ง แต่มันหมายถึงการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลายเพื่อให้คนนอกเข้าใจวิถีชีวิตของชาวแคริบเบียนและผู้อพยพทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม เนื่องจากงานเพลงของวง Massive Attack เหมือนเป็นกระบอกเสียงให้กับคนแปลกถิ่นที่ไม่ได้รับการยอมรับในสังคมให้มีความเชื่อมั่นในชาติพันธุ์ของตัวเอง และกระตุ้นให้พวกเขานำของดีที่มีอยู่กับตัวมาเผยแพร่ให้คนรอบข้างได้เข้าใจ นี่คือการทำลายแพงอคติที่ต้องอาศัยทั้งความกล้าและความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่วง Massive Attack มีมาโดยตลอดตั้งแต่แรก

The Wild Bunch

ก่อนที่จะก่อตั้งวง Massive Attack ในปี 1988 สมาชิกวงได้แก่ Daddy G, Mushroom และ 3D มักจะไปแฮงค์เอาท์กันในคลับที่มีชื่อว่า The Dug Out และทั้งสามคนต่างก็อยู่ในคอลเลกทีฟที่มีชื่อว่า The Wild Bunch ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1980 โดยดีเจท้องถิ่นในเมืองบริสตอลอย่าง DJ Milo และ เนลลี ฮูเปอร์

DJ Milo และ Mushroom เป็นชาวแคริบเบียนแต่กำเนิดและโตมากับดนตรีเร็กเกและโซล ส่วน 3D เติบโตมาในครอบครัวที่มีเชื้อสายอิตาเลียนและอังกฤษ ในขณะที่ Nellee หลงใหลคลั่งไคล้ในดนตรี Black Music แบบเข้าเส้น

แนวดนตรีที่มีอิทธิพลหลักต่อซีนดนตรีในเมืองบริสตอลมาตั้งแต่ยุค 70 ก็คือเร็กเก (ไม่ต่างไปจากชาวใต้ชนชั้นแรงงานที่ต้นตระกูลเคยเป็นทาสในสหรัฐอเมริกามาก่อนและโตมากับดนตรีบลูส์และกอสเปล) เร็กเกเป็นแนวเพลงที่ช่วยให้ผู้อพยพรุ่นหลังได้เข้าใจว่าคนรุ่นพ่อของพวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างไรบ้าง หลังจากที่สหราชอาณาจักรใช้โฆษณาชวนเชื่อให้บรรพบุรุษทิ้งบ้านเกิดมาใช้แรงงานที่นี่ มีวงดนตรีหลายวงที่ช่วยให้ดนตรีเร็กเกได้รับความนิยม เพราะมันเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้ผู้คนได้เห็นความเป็นจริงที่ชาวแคริบเบียนพลัดถิ่นต้องต่อสู้ในยุคล่าอาณานิคมสมัยใหม่ของสหราชอาณาจักร

วงอย่าง Black Roots and Talisman, DJ Tarzan the High Priest และ DJ Derek มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ดนตรีเร็กเกแบบเมืองบริสตอลได้รับการยอมรับไปทั่วเกาะอังกฤษ -- Bristol Sound เติบโตในผับทั่วเมือง ในงาน St Paul’s Carnival ก่อนจะขยับขยายไปแสดงในโกดังเก็บของ รวมถึงคลับ The Dug Out ที่เป็นเหมือนคลังแสงของดนตรีเร็กเกและดับในเมืองบริสตอล The Dug Out ได้รับการยกย่องว่าเป็นเหมือน Studio 54 แห่งยุค 80 และเป็นคลับที่เป็นดั่งตัวอ่อนของดนตรีทริปฮอป ก่อนที่จะเติบใหญ่จนกลายเป็นดนตรีกระแสหลักภายหลัง

Massive Attack ทำให้ทริปฮอปที่เคยเป็นที่รู้จักในกลุ่มแคบๆ กลายเป็นแนวดนตรีที่ดังในระดับพสุธากัมปนาทเคียงข้างไปกับกลุ่มศิลปิน ดีเจ และคลับเฉพาะกลุ่ม โดยสมาชิกรุ่นบุกเบิกของวงประกอบไปด้วย 3D (โรเบิร์ต เดล นาจา), Daddy G (แกรนต์ มาร์แชล), Mushroom (แอนดรูว์ วาวเลส) และ Tricky (เอเดรียน ธอว์ส) ศิลปินเหล่านี้คือตำนานแห่งวงการเพลงเต้นรำทางเลือกใต้ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tricky ที่ถึงแม้ว่าจะเกิดในอังกฤษ แต่เขามีเชื่อสายแอฟริกันและมีบรรพบุรุษเป็นชาวแคริบเบียน

Tricky ที่ลาออกจากวง Massive Attack ไปตั้งแต่ 1995 ก่อนจะกลับมาเป็นสมาชิกวงอีกครั้งในปี 2016 เคยบอกเอาไว้ว่า “ตอนที่เราตั้งกลุ่ม The Wild Bunch ที่มีเป้าหมายในการเผยแพร่วัฒนธรรมเร็กเกและความลึกลับของดนตรี Black Music ในปี 1987 นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับเราทุกคน ไม่มีใครสนใจเรื่องเงินเลย เราแค่อยากจะทำงานเพลงให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น ผมจำได้ว่าแทบไม่เคยกลับบ้าน นอนบ้านเพื่อนตลอด นั่นคือช่วงที่ชีวิตของผมมีอิสระและเสรีภาพมากที่สุดแล้ว”

กลุ่ม The Wild Bunch พยายามที่จะผลักดันดนตรีที่พวกเขาลุ่มหลงให้มีพื้นที่เป็นของตัวเอง ในปี 1989 เนลลี ฮูเปอร์ โปรดิวซ์อัลบั้ม Vol. II 1990-A New Decade งานเพลงชุดที่สองของวง Soul II Soul ก็ทะยานขึ้นสู่ UK Albums Chart ได้ ความสำเร็จนี้มีส่วนทำให้ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรสสัมผัสอันแปลกลิ้นอย่าง New Jack Swing ก้าวขึ้นมาเป็นดนตรีกระแสหลักได้ (ดนตรีแนวนี้โดดเด่นในเรื่องการใช้จังหวะที่มีต้นแบบมาจากดนตรีพื้นถิ่นของชาวแอฟริกันดั้งเดิมมาเบลนด์กับฮิปฮอปและป็อปแดนซ์) ส่วนหนึ่งเพราะพื้นฐานจังหวะที่ล้ำสมัยของ ไมเคิล แจ็คสัน นับตั้งแต่อัลบั้ม Dangerous เป็นต้นมาก็ใช้จังหวะแบบ New Jack Swing เป็นแกนสำคัญ

ส่วน 3D และ Mushroom ก็ได้ร่วมงานกับ Neneh Cherry ศิลปินชาวสวีดิชในการโปรดิวซ์เพลงใน Raw Like Sushi (1989) อัลบั้มชุดแรกของเธอ นั่นทำให้ แคเมรอน แมควี คนรักและผู้จัดการส่วนตัวของเธอมองเห็นศักยภาพที่ไม่ธรรมดาของ 3D และ Mushroom จนเชียร์ให้ทั้งคู่ฟอร์มวงและทำเพลงของตัวเอง

ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของวง Massive Attack

ทำไมถึงต้องเป็น Massive Attack

ที่มาของชื่อวงมีอยู่สองข้อสันนิษฐาน หนึ่ง วงนำมาจากตัวอักษรที่ศิลปินกราฟฟิตีชาวนิวยอร์ก Brim พ่นบนกำแพงในเมืองบริสตอลปี 1985 ซึ่ง 3D เห็นแล้วชอบ จึงนำมาตั้งเป็นชื่อวง อีกหนึ่งแหล่งมาจากการที่สมาชิกวงเคยไปงานปาร์ตี้ที่โกดังแห่งหนึ่งในบริสตอลที่ตั้งชื่องานว่า Massive Attack ซึ่ง 3D มองว่ามันดูขัดแย้งกับแนวคิดสันติภาพของวงและดูประชดประชันดีก็เลยนำมาใช้เป็นชื่อวง

ทั้งนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าทั้งสองข้อสันนิษฐานนี้มาจากเรื่องจริง อาจจะมีข้อใดข้อหนึ่งที่จริง หรืออาจจะไม่จริงเลยสักข้อก็ได้

Seattle & Bristol Sound

1991 เป็นปีที่ดนตรีกรันจ์จากเมืองซีแอตเทิลกำลังถล่มทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง อัลบั้ม Nevermind ของวง Nirvana ปลิดชีวิตดนตรีแนวอื่นจนหมดลมหายใจไปตามๆ กัน นอกจากนี้ยังมีวงอย่าง Pearl Jam, Soundgarden, Alice In Chains กลายเป็นวงหัวหอกของซีนดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกฝั่งอเมริกา ส่วนที่เมืองบริสตอลก็มีหลายสิ่งคล้ายกับซีแอตเทิล ทั้งการเป็นเมืองท่าฝั่งตะวันตก, เป็นเมืองศูนย์กลางเทคโนโลยี, ความเป็น ‘คนนอก’ ของเมืองที่ฝนตกและชื้นตลอดเวลา และสิ่งที่ไม่น่าพิศมัยที่สุดก็คือคนจากทั้งสองประเทศต่างเรียกทั้งสองเมืองนี้ว่าเป็น ‘เมืองบ้านนอก’ เหมือนกัน

บริสตอลก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับซีแอตเทิล ทั้งคู่ต่างเป็นเมืองที่ให้กำเนิดแนวดนตรีที่ภายหลังเป็นพิมพ์เขียวให้กับวงการดนตรีโลก Massive Attack ทำให้ Bristol Sound มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจาก Seattle Sound ตรงที่ดนตรีทริปฮอปใช้บีทที่หนาและหนักในการพรีเซนต์ความทุกข์ยากของชาวแคริบเบียนพลัดถิ่น ขณะที่ดนตรีกรันจ์ใช้เสียงแตกพร่าของกีตาร์ที่ผสมดนตรีพังก์และเมทัลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสื่อถึงความสับสนและทุกข์ของวัยรุ่นเจน X โดยองค์ประกอบหลักที่ถือเป็นวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้เลยของเมนูดนตรีทริปฮอปก็คือดนตรีดับ ถือกำเนิดขึ้นโดย King Tubby ที่นำดนตรีเร็กเกมาตัดองค์ประกอบเสียงอื่นๆ ออก (Drop Out) ให้เหลือเพียงแค่เครื่องดนตรีให้จังหวะและเบสเท่านั้น

ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ที่ทำให้ทริปฮอปกลมกล่อมมากขึ้นก็คือดนตรีฟังก์, โซล, แจ๊ส และการแร็ปแบบอเมริกันฮิปฮอป (ในช่วงแรก) โดย Blue Lines เป็นงานเพลงที่แผ้วถางทางให้กับวงดนตรีระดับโลกหลายวง ที่ชัดเจนที่สุดก็อัลบั้ม Dummy (1994) ของวง Portishead, Morcheeba, Zero 7, Sneaker Pimps, Stateless หรือถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ หน่อยก็อย่าง Gorillaz หรือแม้กระทั่ง DJ Shadow ที่นักวิจารณ์ดนตรีบางกลุ่มมองว่าเพลง In/Flux ของ DJ Shadow เป็นเพลงที่ปฏิรูปดนตรีทริปฮอปให้มีความร่วมสมัยขึ้นด้วยการนำดนตรีฮิปฮอปทดลองมาเป็นเครื่องเคียง แต่ในเมื่อมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Bristol Sound ก็ไม่นับว่ามันเป็นเพลงทริปฮอปแบบต้นฉบับ และงานเพลงในหลายๆชุดของ DJ Shadow ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลมาจากวง Massive Attack ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

Blueprint: Blue Lines

3D เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร NME ว่าการนำดนตรีโซลแท้ๆ มาเป็นหัวใจสำคัญของอัลบั้ม Blue Lines ทำให้งานเพลงชุดนี้เป็นมากกว่าอัลบั้มดนตรีเต้นรำชุดทั่วๆ ไป อาจจะไม่ผิดนักหากจะบอกว่ามันคืองานเพลงที่สร้างจักรวาลใหม่ของ Dance Music ที่อยู่ห่างจากดาวโลกไปหลายล้านปีแสง ไอเดียในการทำอัลบั้มไม่ได้อยู่ที่วงดนตรี เขาไม่คิดที่จะอัดเพลงด้วยกีตาร์ เบส และกลอง แต่จะใช้เครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับบรรยากาศดนตรีที่มาจากเนื้อหาของแต่ละเพลงที่แตกต่างกันเป็นหลัก

ดังนั้นแก่นของ Blue Lines จึงมีสัดส่วนของดนตรีแอฟริกันอยู่ค่อนข้างมาก แต่ทางวงไม่ต้องการเรียกมันว่าดนตรี World Music เพราะด้วยความหมายของมันคือชื่อตระกูล ซึ่งค่อนข้างยากที่จะแบ่งแยกว่านี่คือดนตรีพื้นถิ่นจากประเทศนั้นประเทศนี้ แต่ด้วยหัวใจของชาวแคริบเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Rastafari Movement วงจึงต้องการทำดนตรีที่มีซาวด์ที่หลากหลายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่า

ด้าน Tricky เคยให้สัมภาษณ์ในช่วงที่ Blue Lines ออกวางจำหน่ายใหม่ๆ ว่า “ผมพยายามเขียนเพลงอย่างหนัก แร็ปด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ผมเลย วัฒนธรรมฮิปฮอปยุค 90 มีแต่เรื่องแก๊งสเตอร์และเป็นส่วนหนึ่งของงานปาร์ตี้ที่เปิดเพลงฟังก์กันสนุกๆ มันดูเป็นแพทเทิร์นและแบ่งแยกทางด้านเชื้อชาติกันเกินไป ซึ่งแตกต่างไปจากฮิปฮอปยุค 80 ในยุคที่ Afrika Bambaataa นำดนตรีฟังก์, พังก์, ร็อก, อิเล็กทรอนิกส์และเพลงบรรเลงแบบวง Kraftwerk และวง Apache มามิกซ์เข้าไว้ด้วยกัน”

ทั้งดีเจและศิลปินเพลงเต้นรำล้วนแล้วแต่เป็นหนี้บุญคุณ Afrika Bambaataa ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาเก่ง แต่เป็นเพราะว่าเขาทำลายกำแพงแนวดนตรีลงอย่างราบคาบ ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราตาสว่างด้วยแนวคิดที่ว่า ดนตรีมันไม่ได้เป็นเรื่องของเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ หรือว่าอะไรก็ตาม แต่เป็นเรื่องของการรวมความหลากหลายให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันต่างหาก มันเริ่มต้นขึ้นจากชาวแคริบเบียนพลัดถิ่นที่มาใช้แรงงานในอังกฤษ จากการกดขี่ชาวต่างชาติไม่เลิกราของสหราชอาณาจักร จากการเรียกร้องความเท่าเทียมและความยุติธรรมผ่านการร้องเพลงแร็ปของชาวอเมริกัน จากความทุกข์โศกของทาสที่ใช้เพลงกอสเปล, โซล และบลูส์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

ซึ่งทั้งหมดนี้นี่แหละคือหัวใจสำคัญของ Bristol Sound ซึ่งเป็นสไตล์ดนตรีที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากหลากหลายความเชื่อและทัศนคติทางในเรื่องการใช้ชีวิตและการเมืองที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่างเดียว

Unfinished Sympathy

จริงอยู่ที่ว่านี่คือเพลงที่พูดถึงความรักที่ไม่เคยสมบูรณ์แบบ คล้ายๆ กับความทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นออกมาดีที่สุด แต่ท้ายที่สุดมันกลับไม่เป็นดั่งใจหวัง ชื่อของเพลงนี้พ้องกับเพลง Unfinished Symphony ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของคีตกวีชาวออสเตรีย ฟรานซ์ ชูเบิร์ต ซึ่งหมายถึงเพลงซิมโฟนีที่ยังแต่งไม่เสร็จ

ความพยายามทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จใดๆ ทั้งสิ้นคล้ายการถูกลงทัณฑ์ของ ซิซิฟัส (Sisyphus) ที่ต้องกลิ้งหินขึ้นไปสู่ยอดเขาและเมื่อหินกลิ้งลงมาเขาก็ต้องกลิ้งหินขึ้นไปอีก เป็นเช่นนี้ไปอย่างไม่สิ้นสุด เรื่องเล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของมนุษย์และความซับซ้อนทางสภาวะจิตใจของมนุษย์ที่มีผลต่อการมองหรือตัดสินความงาม เหล่านี้คือข้อจำกัดของคน ข้อจำกัดอันทำให้เรา ‘ขาด’ ไปเสียทุกสิ่ง โดยเฉพาะความเห็นอกเห็นใจ

Unfinished Sympathy ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงทริปฮอปเพลงแรกๆ ของวงการที่ประสบความสำเร็จบนชาร์ตเพลงฮิตและคำวิจารณ์ นี่คือเพลงที่ปูทางให้ Bristol Sound ไปไกลในระดับสากลจริงๆ และทริปฮอปก็ไม่ได้เป็นเพลงอินดี้อีกต่อไป วงมองขาดว่าเพลงนี้จะไปได้ไกลแน่นอนถ้าหากว่ามันมีสเกลที่ใหญ่มากพอ ส่งผลให้จากเพลงที่นักร้องสาว ซาราห์ เนลสัน ฮัมเล่นๆ สมาชิกวง Massive Attack ได้นำมันมาพัฒนาต่อด้วยรายละเอียดดนตรีที่ซับซ้อนกว่าปกติ

การได้บันทึกเสียงวงออร์เคสตรา 40 ชิ้นที่ Abbey Road Studios ทำให้ เนลสัน จำใจขายรถมิตซูบิชิรุ่น Shogun เพื่อนำเงินมาจ้างวง และสำหรับการถ่ายทำมิวสิควิดีโอแบบ Single Continuous Shot ด้วยสเตดิแคม มิวสิควิดีโอนี้ได้ แดน คีซ (Dan Kneece) ผู้กำกับภาพคนเดียวกับหนังเรื่อง Blue Velvet ของผู้กำกับ เดวิด ลินซ์ มาถ่ายทำให้ และใช้ West Pico Boulevard ในแอลเอเป็นโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำ โดยวงให้เหตุผลว่าไม่มีเมืองไหนในอังกฤษที่มีแสงอาทิตย์ที่สว่างนวลตาเหมือนที่แคลิฟอร์เนีย

นี่คือเพลงที่วงทุ่มหมดหน้าตัก และผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาก็เกินกว่าคำว่าคุ้มค่า บางที นี่อาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ ซิซิฟัส แอบมีรอยยิ้มที่มุมปากหลังจากที่กลิ้งหินขึ้นบนยอดเขาได้สำเร็จ (ในปี 1999 หนังสือพิมพ์ The Guardian แห่งเกาะอังกฤษจัดอันดับให้เพลง Unfinished Sympathy ติดอยู่ในอันดับที่ 10 ในหัวข้อบทเพลงที่ดีที่สุดตลอดกาล)

Protection

สาระสำคัญของสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 ของวง Massive Attack ยังคงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับชาวแคริบเบียน บรรพบุรุษของพวกเขาที่ยังคงไม่แน่ใจที่ทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกภายในหรือพื้นที่ภายนอกในเมืองบริสตอลที่ไม่ได้เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง การพึ่งพากันและกันของคนพลัดถิ่นและผู้อพยพที่สมาชิกวงเห็นมาโดยตลอดตั้งแต่เกิดจนโตทำให้สำเนียงดนตรีในอัลบั้ม Protection มีความนุ่มนวลอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงเอาไว้ด้วยความเข้มข้นและตึงเครียด เพื่อสื่อให้เห็นถึงความเป็นนักต่อสู้ของชาวแคริบเบียนพลัดถิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาสมาก่อน

งานเพลงทุกชุดของ Massive Attack ถูกเล่าผ่านมุมมองของคนที่ถูกกระทำและไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถโต้ตอบอะไรได้ เนื่องจากสถานะทางสังคมของตน (Passive) คนเหล่านี้จึงต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ เพราะมนุษย์ต้องการการยื่นมือเข้าช่วยเหลือปลอบประโลมกันและกันในโลกที่เลวร้าย วงตีโจทย์ดังกล่าวออกมาผ่านความหลากหลายของเสียงและผิวสัมผัสของซาวด์ดนตรีที่ขัดแย้งกันเอง คือมีทั้งความนุ่มนวลและแข็งกร้าว การใช้เสียงจากวงเครื่องสายที่สร้างความรู้สึกปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกตื่นตัว

Protection ซิงเกิลที่สองของอัลบั้มชุดนี้ขับร้องโดย เทรซี ธอร์น แห่งวง Everything but the Girl มีการนำเพลง The Payback ของราชันแห่งเพลงฟังก์ เจมส์ บราวน์ มาใช้เป็นแซมเพิลด้วย เนื้อหาของเพลงเพลงนี้พูดถึงความรักและความปรารถนาดีแบบไร้เงื่อนไขถึงแม้ว่าต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เทรซี ธอร์น ได้นำประสบการณ์ส่วนตัวของเธอมาแต่งเป็นเนื้อเพลง โดยในช่วงหนึ่งของชีวิตเธอต้องดูแล เบน วัตต์ คู่รักของเธอที่ป่วยหนักในระดับวิกฤติด้วยโรคหลอดเลือดอักเสบชนิดหายาก

ความเจ็บป่วยทำให้เธอสัมผัสได้ว่าการปกป้องคนที่เรารักและรักเราให้รอดพ้นจากภยันตรายนั้น บางทีก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ เพราะธรรมชาติต่างก็โหดร้ายกับเราอย่างเท่าเทียมกัน แต่การเสริมสร้างความผูกพันและปกป้องความรักให้ยั่งยืนอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ เหมือนกับที่ดวงจันทร์ต้องหมุนรอบโลก โลกต้องหมุนรอบตัวเอง และโลกย่อมต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ นี่คือภาษาสากลของจักรวาล

เดิมที Massive Attack ต้องการให้ มาดอนน่า มาร้องเพลงนี้ แต่ด้วยตารางงานที่ไม่สัมพันธ์กัน มันก็เลยไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะเสียงร้องของ เทรซี ธอร์น ช่างเข้ากันดีกับทำนองดนตรีที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงกีตาร์จากเอฟเฟกต์วาห์วาห์และล่องลอยแบบดรีมป็อป เบสไลน์หนึบหนับเนิบช้าแบบดนตรีดับ และเสียงไฮแฮทกับซาวด์สังเคราะห์แบบมินิมอล

นี่คือเพลงที่ถือเป็นหนึ่งในแทร็กมาสเตอร์พีซของวง ถึงขั้นที่ เจมส์ ลาเวลล์ แห่งวง UNKLE บอกกับนิตยสาร NME ว่า “นี่คือการกลับมาที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญที่สุดเท่าที่เคยมีมาของวงดนตรีเต้นรำร่วมสมัยที่ดีที่สุดในยุคของเรา”

Karmacoma

หากใครเป็นแฟนหนังของผู้กำกับ หว่องกาไว และจำภาพฉากการสังหารครั้งแรกของ หวังจื่อหมิง (หลี่หมิง) ในหนังเรื่อง Fallen Angels (1995) ได้แล้วล่ะก็ เสียงที่ทุกคนย่อมจำได้ติดหูไม่แพ้ท่วงท่าการเดินที่มีสไตล์และงานภาพสุดสวิงสวายก็คือ ‘เพลงประกอบ’ และจังหวะของเพลง ก็มาจากเพลง Karmacoma จากอัลบั้ม Protection นั่นเอง

ว่ากันว่าหว่องกาไวอยากได้เพลง Karmacoma มาบรรเลงในฉากนี้มาก แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะลิขสิทธิ์เพลงมีราคาแพงเกินไป เขาก็เลยวานให้ แฟรงกี ชาน คอมโพสเซอร์ดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ทำการ ‘เรียบเรียงดนตรีใหม่’ (Re-Orchestrated) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเพลง Because I’m Cool ของ Nogabe "Robinson" Randriaharimalala ที่มีจังหวะและทำนองเพลงเหมือนเพลง Karmacoma เป๊ะๆ ต่างกันแค่เนื้อเพลงเท่านั้น

(ยังมีอีกหลายเพลงในหนังเรื่องนี้ที่มีการนำเพลงจีนและฮ่องกงสุดคลาสสิกหลายเพลงมาเรียบเรียงใหม่ รวมถึงการนำเพลง Speak My Language ของศิลปินหญิงหัวก้าวหน้า ลอรี แอนเดอร์สัน มาใช้ด้วย ส่งผลให้ซาวด์แทร็กประกอบหนังเรื่องนี้เป็นงานเพลง Post-Modern ชั้นยอดเลยทีเดียว)

หากมององค์ประกอบแบบแยกส่วน (Deconstruct) เพลง Karmacoma ก็ไม่ได้มีความเป็นต้นฉบับเสียทีเดียว เพราะจังหวะหลักของเพลงที่เล่นเป็นลูปนำมาจากเพลง 'Dam mast qalender mast mast’ ของนักร้องชาวปากีสถาน Nusret Fateh Ali Khan qawwali เมโลดีบางส่วนหยิบยืมมาจากละครโอเปราเรื่อง Prince Igor ของ อเล็กซานเดอร์ โบโรดิน และมีการนำเทคนิคการร้องเพลงแบบ ‘ฆูมีย์’ ของชาวตูวาในประเทศมองโกเลียมาใช้ ซึ่ง Massive Attack ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่วง The KLF ใช้การร้องแบบฆูมีย์ในอัลบั้ม Dream Time in Lake Jackson นอกจากนี้ก็ยังมีการนำเพลงพื้นถิ่นจากต่างประเทศมาใช้อีกหลายเพลง

Karmacoma ถือเป็นหนึ่งในเพลงทริปฮอปที่มีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำมากที่สุดเพลงหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันแทบจะไม่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองเลย เนื่องด้วยโครงสร้างของเพลงล้วนแล้วแต่หยิบยืมมาจากสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ความไม่มีอะไรใหม่ก็คือความสดใหม่อย่างหนึ่ง ถ้าหากคุณมีไอเดียที่สร้างสรรค์มากพอ อย่างเช่นที่วง Massive Attack สร้างเบสไลน์ในย่านเสียงที่ลึกและต่ำขึ้นมาเพื่อให้โครงสร้างของเพลงดูใหม่ขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ

ในภายหลังการใช้แซมเพิลเพลงเก่ามาบิด การตัดต่อเสียง หรือการนำเสียงกีตาร์, เบส, เสียงร้อง, เพอร์คัสชั่น หรือเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ มาใช้เพียงห้องเดียวหรือจังหวะเดียวแล้วนำมาตัดต่อใหม่ ไปจนถึงการเปลี่ยนโทนเสียง ปรับเทมโป และนำมาผสมกับเอฟเฟกต์ที่สร้างขึ้นใหม่กลายเป็นสิ่งที่ศิลปินเพลงเต้นรำนำมาประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย วงที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้มากที่สุดก็คือ Daft Punk ซึ่งต้องยอมรับว่า Massive Attack เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและกรุยทางให้ วิธีการทำเพลงที่เคยจำกัดอยู่แค่ในวัฒนธรรมฮิปฮอปกลับกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของวงการ Dance Music ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ EDM ร่วมสมัยในปัจจุบัน

Mezzanine

สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ของวง Massive Attack ไม่ได้เพียงแค่ให้ความรู้สึกน่าหวาดผวาและตึงเครียดอย่างที่ยากจะหางานเพลงชุดใดมาเทียบได้เท่านั้น แต่บรรยากาศในการทำงานเพลงในอัลบั้มชุดนี้ก็อยู่จุดที่เรียกได้ว่าน่าหวาดวิตกไม่แพ้กัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความขัดแย้งบางประการของเพื่อนนักดนตรีและสมาชิกวงที่ไม่ได้กลมเกลียวกันเหมือนเก่าอีกต่อไป

เนลลี ฮูเปอร์ โปรดิวเซอร์ประจำวงที่ร่วมหัวจมท้ายมาตั้งแต่ตั้งกลุ่ม The Wild Bunch (เขาได้รางวัล BRIT Awards จากการโปรดิวซ์อัลบั้ม Post ให้ บียอร์ก และ Bedtime Stories ให้กับ มาดอนน่า) ตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อกับวง ส่วน Tricky ที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการสร้างความสำเร็จให้กับวงรวมถึงซีนดนตรีทริปฮอปโดยรวม ก็ขอออกจากวงไปทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยว

นีล เดวิดจ์ (Neil Davidge) ที่รับหน้าที่โปรดิวซ์อัลบั้ม Mezzanine เผยกับนิตยสาร Sound on Sound ไปเมื่อปี 2003 ว่าการนัดทำงานในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเสียงหรืออะไรก็ตามแต่ เขาต้องนัดทำงานกับสมาชิกแต่ละคนแบบแยกเป็นรายบุคคล มีบางครั้งที่นัดสมาชิกสองคนในวันเดียวกัน แต่พอสมาชิกอีกคนมาถึง คนที่มาอยู่ก่อนหน้านั้นก็จะออกจากสตูดิโอไปทันที สิ่งที่ยากก็คือสมาชิกแต่ละคนมีไอเดียของตัวเอง คล้ายๆ กับการทำงานแบบเปลี่ยนโปรเจกต์ไปเรื่อยๆ และเขาต้องทำงานแบบนี้วันละไม่ต่ำกว่าสี่รอบ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเขาแทบจะประสาทกิน เพราะมันเป็นวิธีการทำงานที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายและซับซ้อนมากๆ

Mezzanine เป็นงานเพลงที่ไปไกลกว่าดนตรีทริปฮอปทั่วๆไป จริงอยู่ที่ว่ามันเป็นงานเพลงที่ผสมผสานดนตรีดับ, ฮิปฮอป, อาร์แอนด์บี, พังก์ และอื่นๆ แต่สรรพเสียงดนตรีหลายแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ในอัลบั้มชุดนี้เป็นสิ่งที่นอกจากวง Massive Attack จะไม่เคยทำมาก่อนแล้ว ยังเป็นสำเสียงดนตรีที่สดใหม่มากในแบบที่อาจจะไม่เคยมีวงดนตรีวงไหนในยุคนั้นทำมาก่อนเลย

อย่างเช่นเพลง Angels แทร็กแรกของอัลบั้ม เป็นการมิกซ์รวมกันระหว่างความเป็นนอยซ์ ร็อก, ดาร์กเวฟ, โพสต์พังก์, ดับ ไปจนถึงโพสต์ร็อกไว้ด้วยกัน แต่แทนที่จะเป็นความสับสนปรวนแปร Angels กลับเป็นเพลงที่มีเอกภาพได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาษาดนตรีหรือซาวด์ดีไซน์ เป็นสถาปัตยกรรมทางสรรพเสียงที่ชวนให้ครุ่นคิดถึงความซับซ้อนในมวลสารของคลื่นความถี่เป็นอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งที่สร้างความเป็นไปได้ให้การใช้เสียงที่ทั้งพิลึกพิลั่น สยดสยอง และงดงามอย่างวิจิตรนี้คือกระบวนการแต่งเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากสมาชิกวงทั้งสามคนอย่าง 3D, Daddy G และ Mushroom มีทัศนคติในการทำงานเพลงที่ต่างกันอย่างยิ่ง โดย 3D มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้ทิศทางดนตรีของวง Massive Attack ในอัลบั้มชุดนี้เปลี่ยนไปในอีกกระบวนทัศน์หนึ่ง ในช่วงนั้นเขาชื่นชอบดนตรีอินดัสเทรียลแบบวง Nine Inch Nails และเขานำความรู้สึกที่ได้รับขณะแสดงสดมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ส่งผลให้ซาวด์โดยรวมออกมาคล้ายกับงานเพลงบันทึกการแสดงสดเป็นพิเศษ

โดยปกติแล้ววงจะใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในการแสดงสดเกือบทั้งหมด แต่ Mezzanine เป็นอัลบั้มชุดแรกที่วงนำกีตาร์ เบส และกลองมาใช้เล่นบนเวทีคอนเสิร์ตด้วย 3D พยายามออกแบบเสียงที่ฟังชวนขนลุกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตามจินตนาการของเขาเอง ในระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้ วงได้รับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลหลายชุดจากผู้ส่งที่ไม่ประสงค์ออกนามคนเดียวกัน ซึ่ง 3D ก็นำความรู้สึกที่เหนือธรรมชาติบางอย่างจากพระคัมภีร์มาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงด้วย

Teardrop

ถ้าหาก 3D เป็นผู้มอบนรกบนดินให้กับผู้ฟัง ดังนั้นแล้ว อลิซาเบธ เฟรเซอร์ นักร้องหญิงแห่งวงดรีมป็อประดับตำนานของวง Cocteau Twins ก็เป็นดั่งนางฟ้าที่พาผู้ฟังล่องลอยไปยังสรวงสวรรค์พร้อมๆ กับเพลง Teardrop เพลงที่เธอแต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานกวีนิพนธ์หลายๆ ชิ้นของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส กาสตง บาเชลาร์ (Gaston Bachelard) ทุกตัวอักษรในเพลงนี้มาจากประสบการณ์ความรักส่วนตัวของเธอเอง และเพื่อให้เสียงร้องออกมาบริสุทธิ์ที่สุด อลิซาเบธ ได้ขอให้มีเพียงตัวเธอคนเดียวเท่านั้นที่ร้องเพลงนี้ในห้องบันทึกเสียง โดยมีเพียงทำนองดนตรีที่มีความยาว 16 บาร์เล่นวนไปเรื่อยๆ (16 Bars Loop) เพื่อให้เธอร้องตาม ซึ่งว่ากันว่าเธอใช้เวลาในการอัดเสียงไม่นานนักและอาจจะเป็นแบบเทคเดียวผ่าน

Teardrop เป็นดั่งจังหวะเต้นของหัวใจและลมหายใจอันอบอุ่นที่ อลิซาเบธ เฟรเซอร์ มีให้กับ เจฟฟ์ บัคลีย์ มือกีตาร์อัจฉริยะเจ้าของเดบิวต์อัลบั้มแสนมหัศจรรย์ Grace และเป็นลูกชายของศิลปินระดับตำนาน ทิม บัคลีย์ ข่าวที่น่าเศร้าที่สุดของวงการดนตรีโลกเกิดขึ้นในวันที่ 29 พฤษภาคมปี 1997 เมื่อ เจฟฟ์ ประสบอุบัติเหตุจมน้ำและสูญหายไปในแม่น้ำ Wolf River ในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี และกว่าที่เจ้าหน้าที่จะพบศพของเขาก็อีก 6 วันให้หลัง

การจากไปอย่างไม่มีวันกลับอย่างกะทันหันของ เจฟฟ์ บัคลีย์ เป็นข่าวช็อกโลก มันเหมือนมีใครก็ไม่รู้ขโมยชีวิตของเขาไปในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในฐานะนักดนตรี ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ อลิซาเบธ เฟรเซอร์ ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่งดงามกับ เจฟฟ์ บัคลีย์ รู้ข่าวร้ายนี้ในระหว่างที่กำลังอัดเสียงร้องในเพลง Teardrop แบบพอดิบพอดี เธอจมอยู่ความเศร้าได้ไม่นานก็ฟื้นสติได้ และได้มอบเสียงร้องที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งเอาไว้ในเพลงนี้ เป็นดั่งจดหมายรักฉบับสุดท้ายที่เธอจะมอบให้กับ เจฟฟ์ โดยท่อนหนึ่งของเพลงเขียนว่า “love is a verb, love is a doing word”

โดยภาพรวมแล้ว Mezzanine ถือเป็นงานเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวง Massive Attack แต่ด้วยการทำเพลงที่ค่อนข้างหม่นมืดและแตกต่างไปจากคอนเซ็ปต์จากอัลบั้มสองชุดแรกอย่างชัดเจนของ 3D ก็ทำให้ความระหองระแหงเกิดขึ้นในวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Mushroom ที่มองว่าทิศทางดนตรีของวงเตลิดไปไกลกว่าการนำเสนอความเป็นชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของชาวแคริบเบียนผ่านดนตรีทริปฮอป Mezzanine เป็นงานเพลงที่มีความเป็น Bristol Sound น้อยที่สุด โดย 3D เคยบอกว่าอัลบั้มชุดนี้ทำให้เขาเหมือนกลับไปเป็นดักแด้เพื่อที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง แต่สำหรับ Mushroom นี่คืองานเพลงที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนผีเสื้อที่ตายไปแล้ว ส่งผลให้เขาตัดสินใจลาออกจากวงไปในปี 1999

อย่างไรก็ตาม Mezzanine ก็ยังคงเป็นอัลบั้มของวง Massive Attack ที่ทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์รักมากที่สุด เพราะความหลากหลายของซาวด์และความกล้าทดลองทำให้ยากที่จะหาคำนิยามมาจำกัดความ การใช้แซมเพิลในอัลบั้มนี้นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว โดยเพลง Risingson ใช้แซมเพิลจากเพลง I Found a Reason ของวง The Velvet Underground เพลง Exchange ใช้แซมเพิลจากเพลง Our Day Will Come ของ ไอแซค เฮย์ส เพลง Man Next Door ใช้แซมเพิลเพลง 10:15 Saturday Night ของวง The Cure เพลง Teardrop ใช้แซมเพิลจากเพลง Sometime I Cry ของ Les McCann เพลง Inertia Creeps ใช้แซมเพิลจากเพลง Rockwrok ของวง Ultravox และแรกเริ่มเดิมที วงตั้งใจนำเพลง Damaged Goods ของวง Gang of Four มาใช้เป็นชื่ออัลบั้ม แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ใช้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Massive Attack ตั้งใจทำให้อัลบั้มนี้มีกลิ่นอายของดนตรีนิวเวฟ, โพสต์พังก์, อาร์ตร็อก และโซล อย่างชัดเจน ซึ่งวงก็ทำออกมาได้ดีแทบจะไร้ที่ติ

แต่ความสำเร็จนี้มีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิ่ว เพราะหลังจากนั้น Mushroom และ Daddy G ที่ไม่ลงรอยกับ 3D มาได้สักพักใหญ่ๆ ได้ตัดสินใจลาออกจากวง หลังจากที่อัลบั้ม Mezzanine ถูกปล่อยออกมาได้ไม่นาน ส่งผลให้มีเพียง 3D เท่านั้นที่เป็นสมาชิกหลัก และเขาเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่ทำอัลบั้ม 100th Window ออกมาในอีก 5 ปีให้หลัง โดยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 4 ของวงได้รับเสียงตอบรับที่ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ 3D ได้มองข้ามความเป็น Bristol Sound ไปอย่างสิ้นเชิง และหันไปทำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ทดลองและแอมเบียนต์ดับแทน ซึ่งผลตอบรับไม่ค่อยสู้ดีนัก

ส่วนอัลบั้ม Heligoland (2010) ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นการกลับสู่รากเหง้าของดนตรีทริปฮอปอีกครั้ง แต่การทดลองทำดนตรีอัลเทอร์เนทีฟแดนซ์ในอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างที่จะซับซ้อนและฟังยาก ถึงแม้ว่าจะได้ศิลปินรับเชิญระดับยอดฝีมือของวงการเพลงอินดี้ในยุคนั้นอย่าง ทุนเด อเบบิมเพ แห่งวง TV on the Radio, เดมอน อัลบาร์น, โฮป ซัลโดวาล แห่งวง Mazzy Star, กาย การ์วีย์ แห่งวง Elbow, มาร์ตินา ท็อปลีย์-เบิร์ด, เอเดรียน อัตลีย์ มือกีตาร์แห่งวง Portishead มาร่วมงานก็ตาม แถมโบนัสแทร็กที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้นอย่างเพลง Fatalism ที่ได้ ริวอิจิ ซากาโมโต้ และ ยูกิฮิโระ ทาคาฮาชิ แห่งวง Yellow Magic Orchestra มารีมิกซ์ให้ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

(แต่สำหรับ Fatalism นับว่าเป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นบิดาแห่งดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และแอมเบียนต์ทดลองของ ริวอิจิ และ ยูกิฮิโระ อย่างไร้ข้อกังขาใดๆ)

ต่อต้านการโจมตีในฉนวนกาซา

Massive Attack ที่มองเห็นความสำคัญในเรื่องชาติพันธุ์มากเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่าการที่อังกฤษเอารัดเอาเปรียบชาวแคริบเบียนมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองและปฏิบัติต่อชนชาตินี้เป็นเหมือนพลเมืองชั้นสอง ทั้งๆ ที่เป็นการเกณฑ์คนมาช่วยฟื้นฟูประเทศเป็นสิ่งที่ย่ำแย่แค่ไหน วงจึงประกาศจุดยืนต่อต้านนโยบายทางการเมืองที่รัฐอังกฤษมีต่อสงคราม และการที่อิสราเอลกระทำต่อประชาชนในฉนวนกาซาอย่างเลวร้ายด้วย

Massive Attack ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผ่านทาง Instagram โดยมีใจความดังนี้ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกาซาเป็นความเลวร้ายและเลยจุดที่จะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว พวกเราในฐานะศิลปินเลือกที่จะใช้พื้นที่สาธารณะของเราเองเพื่อต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น บทบาทของรัฐบาลสหราชอาณาจักรกลับเอื้อให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ขึ้นมาได้ ส่วนการแสดงออกด้วยจิตสำนึกนี้ เรากลับต้องเผชิญหน้ากับการถูกขู่คุกคามหลากหลายรูปแบบจากภายในวงการดนตรีเอง (ทั้งจากฝั่งงานแสดงสดและการบันทึกเสียง) กระบวนการทางกฎหมายถูกดำเนินการผ่านทางองค์กรอย่าง UK Lawyers For Israel ซึ่งกิจกรรมของพวกเขาเพิ่งจะถูกเปิดโปงออกมาผ่านทางภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่ที่มีชื่อว่า Led By Donkeys”

วงได้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรสำหรับศิลปินที่กำลังเผชิญหน้ากับการถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจในวงการดนตรี เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนในการสนับสนุนปาเลสไตน์และกาซา โดย Massive Attack ต้องการที่จะช่วยเหลือและปกป้องศิลปินคนอื่นๆ ที่ออกมาปกป้องประชาชนในฉนวนกาซา หลังจากที่มีศิลปินหลายคนถูก ‘พยายามทำให้เงียบ’ เมื่อออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามนี้

(https://www.instagram.com/p/DMNt8dPIoKU/?hl=en&img_index=1)

วง Massive Attack ได้เผยผ่านหนังสือพิมพ์ The Guardian ว่าพวกเขาต้องการช่วยให้ศิลปินได้ใช้เสียงของตนในการแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา “การรวมพลังครั้งนี้คือการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับศิลปินที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผ่านทางหน้าจอทุกวัน แต่กลับมีความกังวลที่จะใช้พื้นที่ของตัวเองในการบอกเล่าความสยดสยองเหล่านั้น เพราะถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพจากผู้มีอำนาจในวงการหรือจากองค์กรภายนอกที่ใช้วิธีขู่ดำเนินการทางกฎหมาย จนทำให้ศิลปินเหล่านี้รู้สึกหวาดกลัว” ซึ่งวง Massive Attack มองว่านี่คือเจตนามืดที่ต้องการให้ศิลปินซึ่งสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนได้เงียบเสียงลง

มีศิลปินหลายคนที่เข้าร่วมแคมเปญของวง Massive Attack ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน อีโน, วง Garbage, วง Kneecap และวง Fontaines D.C. กรณีของสมาชิก Kneecap สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขาถูกตำรวจแจ้งข้อหาความผิดฐานก่อการร้ายก่อนที่จะถูกจับกุมตัว หลังจากวิจารณ์การกระทำที่เลวร้ายของอิสราเอลที่มีต่อประชาชนในฉนวนกาซา

Massive Attack เป็นวงดนตรีที่มีคุณลักษณะพิเศษ พวกเขานำศิลปะวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวแคริบเบียนมาถ่ายทอดผ่านดนตรีเร็กเกและดับ ที่มีรากฐานมาจากดนตรีพื้นถิ่นในแถบแคริบเบียนและผสมผสานเข้ากับดนตรีทางเลือกร่วมสมัยจนกลายเป็นซาวด์เฉพาะตัว เรื่องราวที่พวกเขาเล่าผ่านบทเพลงแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษยนิยม ความเท่าเทียม และการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมยุคใหม่อย่างมีชั้นเชิง

พวกเขาทำให้ดนตรีทริปฮอปและ Bristol Sound มีพื้นที่พิเศษอยู่ในใจของคนทั่วโลก พวกเขาคือกลุ่มศิลปินที่แสดงให้เห็นผ่านงานเพลงและเสรีภาพทางคำพูด ว่ามนุษย์ทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติอะไร พูดภาษาไหน และมีความเชื่อเช่นไร

นี่คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของดนตรีทริปฮอปที่พวกเขาสร้างมันมากับมือมาตั้งแต่มันยังไม่มีชื่อเรียกเลยด้วยซ้ำ

อ้างอิง

https://melissachemam.medium.com

https://www.classicpopmag.com

https://classicalbumsundays.com

บทความต้นฉบับได้ที่ : เรื่องราวไม่ธรรมดาของวงดนตรีนามว่า ‘Massive Attack’ ขับขานเรื่องคนพลัดถิ่น ยืนหยัดต่อต้านสงคราม และพลิกวงการดนตรี

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ผู้ประกอบการประมงไทยเดือดร้อนแค่ไหน เมื่อแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้าน

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ชนชั้นกลางและความเหลื่อมล้ำ เราจะสร้างสังคมที่เป็นธรรมได้อย่างไร

23 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

เนื้อแดงแปรรูปวันละมื้อ เร่งสมองแก่เร็ว 1.7 ปี แนะโปรตีนทางเลือก

กรุงเทพธุรกิจ

“ในหลวง-พระราชินี” ประกอบพิธีสมรสพระราชทาน ลูกสาวคนเล็กอดีตนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน”

Manager Online

เจอลูกอ้อนลูกน้อย 'แบม ปีติภัทร' แทบไม่อยากออกไปทำงาน

Manager Online

BMW GROUP Expo 2025 ไปเดินดูรถสวย ๆ กลางเมือง

LSA Thailand

จากเพื่อนรัก สู่หัวหน้าทีม รักษาความสัมพันธ์อย่างไร ในวันที่เพื่อนต้องมาสั่งงานเรา

The MATTER

หาก "กินไข่ทุกวัน" ดีต่อสุขภาพร่างกายจริงไหม

sanook.com

NEWS UPDATE: งานวิจัยเผย สุขภาพจิตเยาวชน LGBTQ ในไทย เผชิญความเสี่ยงซึมเศร้าและความเครียดจากการเลือกปฏิบัติ

Mood of the Motherhood

การโตก้าวกระโดดของเพจ ‘สมองไหล’ ที่มีผู้ติดตามหลักล้านสู่การปั้น SHORTCUT สตาร์ทอัพการศึกษา

Capital

ข่าวและบทความยอดนิยม

ผู้ประกอบการประมงไทยเดือดร้อนแค่ไหน เมื่อแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้าน

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

“Telling China’s Story Well” ประเทศจีนกลัวอะไรในงานศิลปะ?

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทำไมคนบนโลกออนไลน์ถึงโหดร้ายกว่าโลกจริง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...