เครื่องยนต์เศรษฐกิจฝืดกระทบลูกโซ่หวั่นอสังหาฯวูบ15%ปรับตัว
ภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายภาษีของทรัมป์มีผลต่อต้นทุนส่งออกของไทย ขณะที่หลายอุตสาหกรรมเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ในการตั้งฐานการผลิต โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งจีดีพีเติบโตเฉลี่ยถึง 7% และได้รับแรงหนุนจากนโยบายเปิดกว้างในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะ “ตลาดจีน” ความหวังสำคัญ แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนกลับลดลงจาก “วิกฤติศรัทธา” ทั้งเรื่องความปลอดภัยและภาพลักษณ์
ท่ามกลางแรงเสียดทานทั้งภายในและภายนอก ภวรัญชน์ ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568 จะหดตัว 15% โดยเฉพาะในแง่ “มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์” หนึ่งในดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ
“ปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเหนื่อย เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับหมด ทั้งท่องเที่ยวและส่งออก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของคนในประเทศ”
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจะยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่ภาคเอกชนมุ่งปรับกลยุทธ์รุกตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่ “ยอมจ่ายเพื่อคุณภาพชีวิต” ในขณะที่รัฐบาลไทยถูกจับตาว่าจะสามารถเร่ง “เครื่องยนต์หลัก” อย่างการท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศได้ทันหรือไม่!
“ในช่วงเวลาที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์จริง เลือกทำเลที่ใช่ ยังคงเป็นกุญแจของความสำเร็จ”
หวั่นรายได้หดกระทบลูกโซ่ทั้งระบบ
วรวุฒิ กาญจนกูล ประธานบริหาร บริษัท ดับบลิว เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ธุรกิจอาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้น หากไม่มีมาตรการรองรับหรือมาตรการฟื้นฟูที่ชัดเจนจากภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านนโยบายการเงินและการคลัง
“ครึ่งปีหลังจึงเป็นช่วงเวลาท้าทาย ภาคธุรกิจต้องรัดเข็มขัดและประคองตัวให้รอดจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว”
ขณะที่นโยบายภาษีทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมในภูมิภาคและประเทศไทย เป็นจุดชี้ขาดว่าจะแปรเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็น “โอกาส” ได้หรือไม่
สะเทือนส่งออกไทย“ต่างชาติ”ชะลอลงทุน
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยอย่าง “มาตรการภาษีทรัมป์” เป็นสัญญาณเตือนว่าการพึ่งพาตลาดเดิมเพียงไม่กี่แห่งกำลังกลายเป็นจุดอ่อนของระบบส่งออกไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ภาคการส่งออก ต้องเผชิญการแข่งขันทั้งด้านราคา ขีดความสามารถทางการแข่งขัน ในตลาดหลักต่างๆ ที่มี “คู่แข่ง” จำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติ ที่เคยเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ และตลาดอื่นๆ อาจเริ่มหันไปพิจารณาประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีอัตราภาษีใกล้เคียงกัน แต่จีดีพีเฉลี่ยโตสูง 6-7% ต่อปี
“ไทยเคยเป็นตัวเลือกหลักในอาเซียน แต่วันนี้การแข่งขันดุเดือดขึ้นมาก นักลงทุนมองหาทางเลือกที่ให้ต้นทุนในภาพรวมต่ำกว่า และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่า”
ทบทวนบทบาทไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก
ภายใต้บริบทโลกใหม่ที่การค้าเสรีถูกท้าทายด้วยนโยบายกีดกันทางการค้า “ไทย” อาจต้องเริ่มคิดใหม่ในบทบาทของตัวเองในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain)
ที่ผ่านมา ไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของจีนและประเทศที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการค้ากับสหรัฐ แต่เมื่อภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถูกจัดเก็บในอัตราเดียวกับประเทศต้นทาง กลยุทธ์นี้จึงเริ่มไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
หากการส่งออกไปยังสหรัฐหดตัวลงต่อเนื่อง ไทยอาจเผชิญกับภาวะจีดีพีเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ในปีนี้ ยิ่งเศรษฐกิจโลกไม่มีทิศทางฟื้นตัวที่ชัดเจน
ขณะที่ภาคนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า และโรงงานให้เช่า อาจเผชิญกับภาวะ Wait&See “รอ“ และ ”ดู” มากขึ้น นักลงทุนต่างชาติหลายรายอาจชะลอการตัดสินใจลงทุน
อย่างไรก็ดี ไทยจำเป็นต้องขยายตลาดส่งออก กระจายความเสี่ยง และทบทวนยุทธศาสตร์การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้ตอบโจทย์มากกว่าการเป็นแค่ “ฐานการผลิตต้นทุนต่ำ” รัฐบาลต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ไม่เพียงลดผลกระทบระยะสั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการ “รีเซ็ต” บทบาทของไทยในเวทีการค้าโลกในระยะยาวด้วย