ศบ.ทก. ย้ำ 13 ข้อตกลงไทย-กัมพูชา เป็นประโยชน์พื้นที่ชายแดน
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 8 สิงหาคม 2568 เวลา 21.00 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมททำเนียบ 8 ส.ค.-ศบ.ทก. ย้ำ 13 ข้อตกลงไทย-กัมพูชา เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะการหยุดยิง แต่ประเมินสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเผยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำแต่ละประเทศจะประสานพื้นที่ นำอาเซียนลงติดตามเป็นระยะ ชี้การพูดคุยระดับ RBC เริ่มปลายเดือนนี้ เผยหากเหตุการณ์ประทุอีก เรียกประชุม GBC สมัยวิสามัญได้ทันที
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงสรุปภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ผ่านมาตรวจพบว่า ฝ่ายกัมพูชา ตรึงกำลังทหารบริเวณชายแดนพื้นที่สำคัญ พร้อมมีการเคลื่อนไหวด้านยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะในบางพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องมีการตรวจตราและติดตามอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากนั้นยังมีการตรวจพบการบินของอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ในบางพื้นที่เช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายยั่วยุในบางจุด ทางทหารไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มการตรวจตราตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง
โฆษก ศบ.ทก. ยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ หรือ GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ว่า ได้มีการลงนามข้อตกลง 13 ข้อ โดยเป็นข้อตกลงที่สำคัญและเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะรายละเอียดข้อที่ 1 ทั้งสองฝ่ายเห็นพร้อมที่จะหยุดยิง ด้วยอาวุธทุกชนิด การวางกำลังในพื้นที่โดยไม่มีการเคลื่อนกำลัง นับตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ดังนั้นกำลังที่วางอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม วางตรงไหนจะอยู่ในจุดนั้น โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายใดๆ ไม่มีการเพิ่มกำลังตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่ช่วงเจรจาหยุดยิง ละเว้นการดำเนินการยั่วยุใดๆ ที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียด โดยไม่มีการปั่นป่วนใช้สื่อสังคมออนไลน์แสดงการยั่วยุ ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือการปฏิบัติ งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อบุคคลพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนอย่างเด็ดขาด โดยต้องพิทักษ์ปกป้องประชาชนให้มีความปลอดภัย เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา ประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่ได้ขัดแย้ง แต่เป็นสถานการณ์สืบเนื่องมาจากประเด็นทางการเมือง ดังนั้นประชาชนจะต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และจะต้องถูกพิทักษ์ปกป้องไว้ ต้องป
ส่วนอีก 4 ข้อตกลง ในการติดตามขับเคลื่อนในระดับภูมิภาค และระดับประเทศ โดยในระดับภูมิภาคมีทั้งหมด 3 ข้อ คือ ทั้งสองฝ่ายดำรงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามความเข้าใจร่วมกัน ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม และหยุดยิง มีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีมาเลเซียเป็นผู้นำ เพื่อติดตามให้กันอยู่จริงเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เส้นทางมาเลเซียได้เน้นย้ำกับทางการไทยเสมอมา ว่า มาเลเซียจะดำรงอยู่เฉพาะบทบาทผู้สังเกตการณ์ โดยการหารือต่างๆให้เป็นเรื่องของทั้งสองประเทศ ที่จะหารือร่วมกันเท่านั้น นอกจากนี้การพูดคุยในระดับ RBC จะต้องดำเนินการให้หยุดยิง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซียที่จะประสานงานและสังเกตการณ์ โดยให้มีการประชุม RBC อย่างสม่ำเสมอและรายงานต่อที่ประชุม GBC โดยมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จะจัดคณะผู้สังเกตการณ์ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว จะประกอบด้วย ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารมาเลเซียของทั้งไทยและกัมพูชา โดยจะสังเกตการณ์การหยุดยืนของแต่ละฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ เหตุการณ์จากประเทศเจ้าภาพและเจริญรับเชิญไปสังเกตการณ์จากประเทศเจ้า
ส่วนข้อตกลงสุดท้าย ข้อ 13 ที่ใช้กลไกระดับประเทศ จะเห็นได้ว่ามีกลไกระดับภูมิภาค คือกำหนดให้มีการประชุม GBC ครั้งต่อไปภายใน 1 เดือนนับจากวันที่ 7 สิงหาคม ทั้งนี้หากสถานการณ์ปะทุขึ้นมาอีก และสถานการณ์ไม่ปกติ ก็จะสามารถเรียกประชุม GBC สมัยวิสามัญโดยทันที
พลเรือตรี สุรสันต์ ระบุว่า จากการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายไทย ถือว่าการประชุม GBC ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะหลายประเด็นฝ่ายไทยได้ยืนยันและพยายามจะผลักดัน พร้อมกับขับเคลื่อนมาโดยตลอด ที่สำคัญได้การหยุดยิง ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์ตรงนี้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการสร้างความปลอดภัย สร้างสันติสุขให้กับพื้นที่ เพราะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะสามารถกลับไปยังภูมิลำเนาของตนเองได้ ขณะเดียวกันก็หวังว่า ทางฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลง.-315.-สำนักข่าวไทย