โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“ยิ่งเรารักชาติเท่าไร บางครั้งเราก็รังเกียจชาติอื่นมากขึ้นเท่านั้น” ‘เรื่องเล่าแห่งชาติ’ ถ้อยคำในประวัติศาสตร์ ว่าด้วยชาตินิยม พรมแดน และกองทัพ กับ ผศ.ธิบดี บัวคำศรี

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ภาพถ่าย: จิตติมา หลักบุญ

ในโมงยามที่ประเทศไทย-กัมพูชา เดินทางมาสู่จุดเปราะบางทางความสัมพันธ์ ซึ่งครั้งล่าสุดนี้เหตุการณ์บานปลายและร้อนแรงขึ้นอย่างมากจากกรณีที่คลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ถูกปล่อยออกมา จุดประกายคำถามมากมายถึงเกมอำนาจระหว่างประเทศ รวมถึงในประเทศด้วยเช่นกัน

สถานการณ์เช่นนี้ ‘ชาตินิยม’ จึงถูกปลุกขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากแต่พาหนะที่เรียกว่าชาตินิยม อันมีจุดเริ่มต้นจากความเป็นชาติ ขับเคลื่อนโดยผู้มีอำนาจ และมีผู้โดยสารคือประชาชน จะมีจุดหมายปลายทางคือผลประโยชน์ของ ‘ชาติ’ ทั้งสองฝ่ายจริงหรือไม่?

ไทยรัฐพลัสเดินทางไปพูดคุยกับ ผศ.ธิบดี บัวคำศรี จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากคลิปเสียงดังกล่าวถูกปล่อยมาได้เพียง 1 วัน บทสนทนาพาไปสำรวจรากฐานของความเชื่อและเรื่องเล่าที่ประกอบสร้างความเป็น ‘ชาติ’ ขึ้นมา ย้อนกลับไปทำความเข้าใจความหมายดั้งเดิมของคำว่าชาติ ที่แปลว่า ‘การเกิด’ ก่อนจะถูกขยายความหลอมรวมเข้ากับอุดมการณ์ความรักชาติในยุคสมัยใหม่ และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในบริบทของความขัดแย้ง ทั้งในพื้นที่ชายแดน และผ่านบทบาทของกองทัพในฐานะ ‘รั้วของชาติ’

‘ชาติ’ ในบริบทเปลี่ยนผ่าน

ธิบดี เริ่มต้นจากการพูดถึง ‘ชาติ’ ก่อนที่มันจะถูก ‘นิยม’ คำบอกเล่าจำเพาะลงมาในกรณีของไทยเป็นหลัก เมื่อบอกว่าจำเพาะลงมาในกรณีไทยเป็นหลัก จะเจาะจงลงไปที่คำและความหมาย ซึ่งไม่เท่ากับว่าความหมายตามตัวอักษรจะตรงกับความหมายแบบที่เราใช้กันหรือที่เข้าใจกันในปัจจุบัน

ชาติความหมายโดยตัวอักษรแปลว่า กำเนิด หรือการเกิด เหมือนอย่างคำว่า ‘ชาตะ’ ที่ใช้ใน ชาตะ-มรณะ ในพจนานุกรมฉบับแรกๆ ของไทย ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปถึงยุคสมเด็จพระนารายณ์ สมัยอยุธยา อย่าง จินดามณี (พ.ศ. 2199-2231) ที่เป็นทั้งแบบเรียนภาษาไทย เป็นหนังสือรวบรวมคำศัพท์ และพจนานุกรมไทยที่จัดทำขึ้นโดยมิชชันนารีตั้งแต่ช่วงปลายอยุธยา จนถึงพจนานุกรมที่จัดทำขึ้นโดยราชการไทย เผยแพร่ครั้งแรกช่วงปี 2434 ต่างให้ความหมายคำว่าชาติแบบไม่หนีกันไกลนัก

“คำว่า ‘ชาติหมา’ จึงเจ็บปวด เพราะคือการบอกว่าเป็นหมานั่นแหละ” ธิบดียกตัวอย่างคำก่นด่าที่มีรากมาจากความหมายโดยอักษรของคำว่าชาติ

ภาพไฮไลต์

เขาอธิบายต่อว่า ในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ความหมายโดยอักษรของคำว่าชาติ เริ่มขยายความไปถึง ‘การเกิดต่อๆ กันมา’ ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มคนที่เกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เกิดจากปู่ย่าตายาย สามารถนับลำดับลงมาได้

เมื่อพูดลักษณะนี้แล้วชาติจะหมายถึงกลุ่มคน หรือชุมชนของคนที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ซึ่งในยุคสมัยนั้นเรียกคนที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันนี้ว่าคนไทย และเรียกรวมทั้งหมดว่าเป็นชาติไทย

“ถึงเวลาช่วงเวลาหนึ่ง คำอธิบายตามรูปแบบเดิมของรัชกาลที่ 6 นั้นคงไม่พอ เพราะว่าในดินแดนนี้ไม่ได้มีแค่คนที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ดังนั้นจึงมีคำอธิบายขึ้นมาอีกว่า ถ้าจะบอกว่าเป็นคนไทยหรือเป็นชาติไทย ต้องเป็นคนที่อยู่ในชาติไทย พูดภาษาไทย มีขนบธรรมเนียมประเพณีแบบที่เรียกว่าไทย ดังนั้นจึงมีการอธิบายหรือขยายความคำว่าชาติที่ไม่เฉพาะเจาะจงเหมือนเดิมที่อยู่แค่ว่าเกิดมาจากใคร”

ความเป็นชาติจึงทั้งเปลี่ยนและไม่เปลี่ยนตามบริบทเวลาในการอธิบายแบบธิบดี เพราะในช่วงเวลาเดียวกันหรือในบริบทเดียวกันก็มีชาติในแบบอื่นๆ

ชาติของรัชกาลที่ 6 หรือนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่ศึกษาเรื่องชาตินิยม เรียกว่าเป็น ชาตินิยมทางการ (Official Nationalism) หรือที่ ศ.กิตติคุณ ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า ‘ราชาชาตินิยม’ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 6 สร้างขึ้น มีองค์ประกอบ คือ ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ และต้องเกิดเป็นคนไทย พูดภาษาไทย สำคัญที่สุดคือต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์ รวมถึงต้องยอมตายเพื่อไทย ซึ่งธิบดีกล่าวว่าอ้างอิงตามเอกสารพระราชนิพนธ์ที่ท่านเขียนเอาไว้ถึงความเป็นไทยหลายฉบับ

เขาให้ข้อสังเกตอีกด้วยว่า เอกสารข้างต้นนั้นเขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์กบฏซึ่งเกิดขึ้นในปีแรกของรัชสมัยอย่างกบฏ ร.ศ. 130 ซึ่งคณะผู้ก่อกบฏมีความเห็น ความเข้าใจ หรือมีทัศนะในเรื่องชาติที่ต่างไปจากรัชกาลที่ 6 พวกเขาเชื่อว่าชาติคือบ้านเมือง เราควรจะจงรักภักดีต่อชาติ ต่อบ้านเมือง

“สุดท้ายนี่คือกบฏ ถูกจับ ถูกขัง แม้จะถูกปล่อยออกมา แต่เขาไม่ได้มีอำนาจแสดงออกที่จะทำให้เราเห็นว่าตกลงสิ่งที่เขาคิด ถ้าหากจะออกมาอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จะเป็นยังไง แต่ประเด็นคือแม้แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ในบริบทเดียวกันมีชาติทั้งแบบที่อิงอยู่กับกษัตริย์ และชาติแบบที่อิงอยู่กับบ้านเมือง” ธิบดีเล่า

‘ชาตินิยม’ ฉบับตามสั่ง

หลังปฏิวัติสยามปี 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ คำว่า ‘ชาตินิยม’ เป็นที่จดจำอย่างมากตั้งแต่ยุคนั้นยาวมากระทั่งในยุคปัจจุบันนี้ ลักษณะหลักๆ มีความคล้ายกันกับชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 ในแง่หนึ่งคือแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ความคิดบางอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปเสียทั้งหมด ซึ่งธิบดีให้คำจำกัดความว่า ‘ไม่ได้ถอนรากถอนโคนทางความคิด’

“จอมพล ป. เคยพูดเอาไว้ว่า กษัตริย์อยู่ต่างประเทศ เอาผู้นำมาเป็นตัวแทนก็แล้วกัน แล้วต่อมาก็เกิดสโลแกน ‘เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย’ ดังนั้นชาติซึ่งคืออะไรที่ไม่แน่ใจนั้นยังอยู่ ศาสนาก็ยังอยู่ กษัตริย์ถูก represent แทนด้วยผู้นำอย่างนายกฯ ดังนั้นโดยหลักๆ ยังคล้ายเดิม ความจงรักภักดีหรือการเชื่อฟังผู้นำคือสิ่งที่บอกว่าเราเป็นสมาชิกที่ดีของชาติ”

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

“อาจเกิดคำถามต่อว่าแล้วชาติแบบที่อิงอยู่กับประชาชนหรือกับบ้านเมืองยังมีอยู่ไหม ก็ยังมี เพราะคณะราษฎรรวมประชาชนเข้าไปอยู่ในคำว่าชาติด้วย แต่เวลาผ่านมาก็เห็นไม่ถนัด เรามักจะเห็นอะไรที่อิงอยู่กับสถาบันหลักของชาติมากกว่าอยู่ดี” ธิบดีกล่าว

ศ.ดิเรก ชัยนาม อดีตนักการทูตในคณะราษฎร ฝ่ายพลเรือน ครั้งหนึ่งเคยกล่าวถึงชาตินิยมเอาไว้ว่า “เป็นความสำนึก หรือความรู้สึกทางจงรักภักดีต่อหมู่ชนซึ่งตนถือเป็นชาติพันธุ์ (Ethnic) เดียวกัน และเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน…”

ศ.ดิเรก ชัยนาม อดีตนักการทูต และคณะราษฎร ฝ่ายพลเรือน

เช่นเดียวกับ พลตรีหลวงวิจิตรวาทกา นักชาตินิยมคนสำคัญของไทย ที่เคยเปิดเผยทัศนะอธิบายชาตินิยมในบริบทประเทศไทยได้เป็นอย่างดีว่า “เมื่อชาติหมายถึงส่วนรวมของคน ความรักชาติก็เป็นความรักส่วนรวมของคนที่สืบสายโลหิตและมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมา…ลัทธิชาตินิยมทำให้เกิดความรู้สึกว่าชนชาติเดียวกันทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ใครมาทำร้ายชนในชาติก็รู้สึกเหมือนทำร้ายลูกหลานในครอบครัวของตนเองและต้องพร้อมใจช่วยกัน ด้วยคำคำเดียวที่ร้องขึ้นเป็นอาณัติสัญญาณ เขาจะรุมเข้ามาช่วยกัน โดยไม่ต้องไต่ถามว่าเป็นเรื่องอะไร นั่นคือชาตินิยม…”

พลตรีหลวงวิจิตรวาทกา นักชาตินิยมคนสำคัญของไทย

หากว่ากันตามหลักการอีกสักครั้งในภาพรวม ชาตินิยม (Nationalism) ก็คือแนวคิดหนึ่งที่มุ่งสร้างความรู้สึกร่วมของผู้คนในฐานะสมาชิกของชาติเดียวกัน มีแกนกลางแนวคิดคือความจงรักภักดี ความผูกพัน และความภาคภูมิใจในชาติ มีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าชาติคือสิ่งที่ต้องรักษา ปกป้อง และยึดมั่นร่วมกัน

นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงสัญลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นธง เพลง หรือพิธีกรรมต่างๆ คำอธิบายของธิบดีก็ชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีพลังในตัวเอง แต่ต้องมี ‘เรื่องเล่า’ คอยหนุนหลัง

ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย… สิ่งนี้เวลาคุณได้ยินคุณอาจจะไม่อิน ไม่ผูกพัน ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ แต่แน่นอนว่าจะมีบางคนที่อินมากๆ ซึ่งผมจะบอกว่าเพราะเรื่องเล่าทำให้คำพูดหรือสัญลักษณ์เหล่านี้สำคัญ เรื่องเล่าระดับชาติน่ะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

เหล่านี้ช่วยฉายภาพชัดว่า ชาตินิยมในไทยถูกประกอบสร้างขึ้นจากเครือข่ายของสัญลักษณ์ เรื่องเล่า และสถาบันที่อยู่คู่กันมา ชาติจึงเป็นสิ่งที่มีรากลึกในอารมณ์ ความทรงจำ และการจัดวางภาพใหญ่ของอดีตที่บางครั้งไม่ได้เป็นเพียงความจริง แต่เป็น ‘ความจริงที่เล่าซ้ำจนกลายเป็นจริง’

เรื่องเล่าของ ‘ชาติ’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ระหว่างเกิดเหตุพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หรือกระทั่งหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามอธิบายว่า เหตุใดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีแรงขับเคลื่อนทางการเมือง วัฒนธรรม และสังคมที่มักถูกอธิบายด้วยคำว่า ‘ชาตินิยม’ หรือมีความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นกว่าภูมิภาคอื่นๆ นักวิชาการบางคนถึงกับมองว่า ประเทศในแถบภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่มีชาตินิยมเป็นแรงผลักดันสำคัญ ไม่ว่าจะในรูปแบบเข้มข้น เงียบงัน หรือซ่อนเร้นอยู่ใต้ผิวความเป็นรัฐชาติ

“ทุกชาติก็มีหมดใช่ไหมชาตินิยมน่ะ ถ้าไม่มีคงอยู่ไม่ได้หรอก” ธิบดีชี้ถึงชาตินิยมในฐานะกลไกที่หล่อเลี้ยงจินตนาการของการเป็นชาติเดียวกัน หากไม่มีความรู้สึกร่วมว่าพวกเราคือใคร รัฐสมัยใหม่ย่อมไม่มีรากฐานทางอารมณ์มารองรับ

แต่เมื่อพิจารณารายกรณีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คำถามที่ซับซ้อนกว่าก็คือ ความรู้สึกชาตินิยมในภูมิภาคนี้มีลักษณะร่วมกันหรือไม่ และหากมี รุนแรงหรือเข้มข้นกว่าภูมิภาคอื่นจริงหรือ?

ซึ่งธิบดีกล่าวต่อว่า แม้จะเคยมีกระแสกล่าวว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือดินแดนแห่งชาตินิยม แต่ในความเป็นจริงหลายประเทศในภูมิภาคกลับไม่มีความขัดแย้งระหว่างรัฐที่แสดงออกถึงความรุนแรงของชาตินิยมเชิงลบ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง

“ความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงอาจจะเป็นแบบนี้ แบบเหตุการณ์ตอนนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งเสมอไป”

เขายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับบางพื้นที่ที่ความขัดแย้งข้ามพรมแดนมีรากมาจากความรู้สึกชาตินิยม เช่น อินเดียกับปากีสถาน หรือการแยกตัวของรัฐในยุโรปตะวันออกช่วงหลังสงครามเย็นที่ต่างมีปมจากการไม่รู้สึกว่าเป็นชาติเดียวกัน เช่น เซอร์เบีย หรือเช็ก

เมื่อหันกลับมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คำอธิบายแบบหนึ่งที่มักถูกหยิบยกมาใช้อธิบายความรู้สึกชาตินิยมคือ การเคยตกเป็นอาณานิคม ไม่เว้นแม้แต่สยาม ที่แม้จะไม่ถูกปกครองโดยตรง แต่ก็ถูกกดทับทางเศรษฐกิจ การทูต และวัฒนธรรม

“แม้สยามไม่ได้เป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการ แต่เราเสียเอกราชในทางศาล เสียเอกราชในทางเศรษฐกิจ…”

อย่างไรก็ตาม ธิบดีตั้งข้อสังเกตว่า การอธิบายว่าชาตินิยมเกิดจากอดีตการเป็นอาณานิคมเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอ

“ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเราสามารถโยนความผิดทั้งหมดให้กับการเคยเป็นอาณานิคมได้หรือเปล่า เพราะถ้าพูดว่าชาตินิยมแรงเพราะเคยตกเป็นอาณานิคม อย่างนี้มันไม่ตอบว่าทำไมในบางที่มันมีปัญหา และในบางเวลาบางที่ที่เคยมีปัญหาก็ไม่มีปัญหาเลย”

ชาตินิยมจึงไม่ใช่ผลลัพธ์ตรงไปตรงมาของอดีตที่ถูกปกครอง หากแต่เป็นกระบวนการซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ การเมือง สงคราม ความทรงจำ และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนภายในรัฐเอง ชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอยู่ทุกประเทศ แต่มีระดับ มีความเข้มข้น และมีบทบาทที่ต่างกันไป การศึกษาชาตินิยมในภูมิภาคนี้จึงต้องพิจารณาทั้งการเล่าเรื่องของชาติในแต่ละช่วงเวลาอย่างละเอียด หรืออาจจะตั้งคำถามต่อว่า…ชาติที่รู้สึกผูกพันนั้น ถูกเล่าให้รักอย่างไร?

ชาตินิยมในข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับชาตินิยมหรือไม่? ซึ่งธิบดีระบุว่า คำตอบไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่ตามมาในเชิงการเมืองและการสื่อสารสาธารณะบอกเราว่า ความรู้สึกชาตินิยมมีบทบาทในการหล่อเลี้ยงความขัดแย้งอย่างแน่นอน

“แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 28 แต่สิ่งที่เกิดตามมามันทำให้เห็นว่าทำไมเรื่องนี้ถึงขยายตัวได้”

ในฐานะผู้ที่สนใจและเชี่ยวชาญด้านกัมพูชา เขายกคำอธิบายเป้าหมายของฟากฝั่งกัมพูชาในความขัดแย้งคราวนี้ที่ถูกใช้ในสาธารณะ 2 แบบ แบบแรกคือ สมเด็จฮุน เซน สร้างประเด็นทั้งหมดนี้ขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งอาจกระทบต่อความนิยมและผลการเลือกตั้ง

ขณะที่อีกแบบหนึ่งคือ ฮุน เซนต้องการสร้างภาพจำของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชา เพื่อส่งต่อมรดกทางอำนาจให้กับลูกชายอย่าง ฮุน มาเนต

หากเป็นแบบแรก ชาตินิยมอาจไม่ได้อยู่ในฐานะต้นเหตุโดยตรง แต่ถูกหยิบมาใช้เป็นเชื้อไฟ และหากเป็นแบบที่สอง ชาตินิยมอาจมีบทบาทตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะความปรารถนาจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ก็พ่วงมากับภาพความเข้มแข็งของชาติเล็กๆ ที่จำเป็นต้องสามารถทัดทานอำนาจจากภายนอกได้

ธิบดีเสนอว่า เราอาจต้องคิดถึงความเป็นไปได้แบบที่ 3 คือ การใช้ความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ของตัวผู้นำเอง ไม่ได้หวังจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชาติหรือระบอบเลยด้วยซ้ำ

ไม่ว่าชาตินิยมจะเป็นแรงจูงใจหรือไม่ตั้งแต่ต้น แต่ธิบดียืนยันว่า มันมีบทบาทแน่นอนในฐานะกลไกขยายความขัดแย้ง ทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา

ทั้งนี้ เรื่องราวในอีกฟากหนึ่งของพรมแดนอย่างกัมพูชา ธิบดีมองว่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลเพียงพอจะประเมินเชิงปริมาณว่ามีชาวกัมพูชากี่คนที่เห็นต่างจากวาทกรรมชาตินิยมกระแสหลัก แต่เขามองเห็นอย่างน้อยสองรูปแบบของปฏิกิริยา

“พูดแบบหยาบๆ ผมคิดว่ากระแสชาตินิยมไม่ต่างกัน… มีทั้งแบบที่เงียบๆ กับแบบที่เสียงดัง และแบบที่เสียงดังมักจะพากันบอกว่ารบกันเถอะ แบนกันเถอะ ตัดน้ำตัดไฟเถอะ”

ในทางหนึ่ง นักการเมืองฝ่ายค้านในกัมพูชาก็พยายามเกาะอยู่กับกระแสชาตินิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่สิ่งที่น่าสังเกตในระดับการเมืองคือ การปรากฏตัวน้อยมากของฮุน มาเนต ทั้งที่ควรออกหน้าในฐานะผู้นำบริหารประเทศ แต่บุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นกลับเป็นฮุน เซน บิดาของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา

“ตัวละครหลักของกัมพูชาตอนนี้คือฮุน เซน… แม้จะไม่มีอำนาจบริหาร แต่ด้วยบารมี เขายังทำได้ทุกอย่าง”

อย่างไรก็ตาม ธิบดีไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำอธิบายยอดนิยมที่ว่า ฮุน เซนทำเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจหรือการเมืองภายใน หรือเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้กับลูกชายของเขาสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

“เราอธิบายกันง่ายเกินไปว่าเพราะมีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ก็เลยไปทำเรื่องอื่นเบี่ยงเบน… คำถามคือ แล้วปัญหาคืออะไร? แล้วมันหนักหนาขนาดที่ต้องไปทำสงครามเพื่อกลบข่าวหรือเปล่า?”

การผูกโยงระหว่างเหตุการณ์ความขัดแย้งกับการเลือกตั้งอาจไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นข้อสรุป เพราะหากดูย้อนหลังจะพบว่าครั้งที่ใช้กระแสชาตินิยมช่วยต่ออายุอำนาจได้อย่างมีนัยสำคัญก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง เช่น เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2003 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีเดียวกัน ส่วนกรณีอื่นๆ เช่น ความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารในปี 2008-2011 ก็ไม่ได้นำไปสู่ผลการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน

“ผมไม่ค่อยเชื่อว่าเรื่องนี้ทำขึ้นเพราะปัญหาภายใน หรือเพื่อคะแนนเสียง ถ้าดูวิธีที่ ฮุน เซนชนะเลือกตั้งล่าสุดก็คือการไม่ให้ใครลงแข่งเลย แล้วจะแบ่งเก้าอี้ให้พรรคพันธมิตรเอาไว้เอง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้วุ่นวาย”

ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรคือแรงผลักจริงๆ ?

ธิบดีคาดเดาอย่างระมัดระวังว่า นี่อาจเป็นความพยายามของฮุน เซนในการสร้าง ‘มรดกทางการเมือง’ ให้กับตัวเองและระบอบที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งมีลูกชายของเขาเป็นผู้สืบทอด

เขามองว่า สำหรับผู้นำที่ต้องการจารึกชื่อตัวเองในประวัติศาสตร์ชาติแบบเดียวกับสมเด็จสีหนุ อดีตกษัตริย์ ประมุขแห่งรัฐ และนายกฯ กัมพูชา ผู้ถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ชาติตัวเองว่าเป็นบิดาแห่งเอกราชกัมพูชา ความยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดจากการฟื้นฟูสันติภาพเพียงอย่างเดียว แต่อาจต้องมีชัยชนะทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีพิพาทพระวิหารที่กลายเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศของการเมืองกัมพูชา

“สิ่งที่วีรบุรุษชาติพึงมีไม่ใช่แค่ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ แต่คือการปกป้องเกียรติภูมิของชาติในสายตาของประชาชน นี่อาจเป็นสิ่งที่ฮุน เซน ต้องการส่งมอบให้ลูกชายของเขา ในฐานะมรดกที่มากกว่าตำแหน่ง นั่นคือความชอบธรรมทางสัญลักษณ์”

เมื่อความรู้สึกถูกดึงมาใช้ที่ชายแดน

ช่วงที่กระแสต่อต้านชาวกัมพูชาในโซเชียลมีเดียกำลังร้อนแรง เรามักเห็นภาพหรือคำพูดที่ปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชัง ถึงขั้นพูดกันถึงเรื่องสงครามหรือความรุนแรงระหว่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงจากคนชายแดนบางส่วนที่สะท้อนอีกมุมหนึ่งออกมาว่า คนเมืองอาจเรียกร้องหรือสนับสนุนสงครามได้ง่าย เพราะไม่ได้เผชิญกับผลกระทบโดยตรง ในขณะที่คนที่อยู่แนวชายแดน ซึ่งต้องอยู่ร่วมกับผู้คนอีกฝั่งมาโดยตลอด กลับไม่ต้องการความขัดแย้งเลย

เมื่อมองผ่านเลนส์ของแนวคิดชาตินิยม ประเด็นนี้จึงน่าสนใจว่าความรู้สึกรักชาติของคนเมือง กับความรู้สึกแบบเดียวกันของคนชายแดน มีลักษณะหรือท่าทีที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง นี่จึงเป็นอีกคำถามที่ชวนธิบดีแลกเปลี่ยนมุมมอง

ซึ่งธิบดีเริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า แท้จริงแล้ว ความรู้สึกแบบชาตินิยมในคน 2 กลุ่มนี้อาจ ‘เหมือนกันมากกว่าต่าง’ ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะคนชายแดนและคนเมืองตอบสนองต่อสถานการณ์เหมือนกัน แต่เป็นเพราะรัฐไทยสามารถปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับ ‘ชาติ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านระบบการศึกษา ผ่านเพลง ผ่านพิธีกรรมซ้ำๆ อย่างเคารพธงชาติในเวลา 8 โมงเช้าและ 6 โมงเย็น หรือแม้แต่เพลงทั่วไปในชีวิตประจำวัน ทำให้คนไทยจำนวนมากไม่ว่าอยู่ในเมืองหรือพื้นที่ห่างไกล ต่างซึมซับชุดความคิดแบบเดียวกันว่า ชาติคือสิ่งที่ต้องปกป้อง เป็นสิ่งที่ผูกโยงกับสถาบันกษัตริย์และกองทัพที่ทำหน้าที่รักษาเอกราชของแผ่นดิน

“ผมว่ารัฐไทยประสบความสำเร็จในการทำให้คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าชาติคือสิ่งสูงสุดที่ต้องภักดีต่อมัน และผูกไว้กับสถาบันหลักๆ อย่างกษัตริย์กับกองทัพ ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองหรือชายแดน ก็จะถูกหล่อหลอมด้วยกรอบคิดแบบเดียวกันผ่านกลไกเหล่านี้แทบทั้งนั้น”

เขาเล่าต่อว่า ในช่วงสงครามเย็น รัฐไทยยังเข้าไม่ถึงหลายพื้นที่ ชาวบ้านบางแห่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘ในหลวง’ คือใคร แต่หลังจากผ่านไปหลายทศวรรษ กลไกรัฐเข้าไปถึงทุกระดับ ตั้งแต่โรงเรียน ผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงสื่อสารมวลชน ทำให้แทบไม่มีใครหลุดพ้นจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาติแบบกระแสหลักได้เลย

“ผมไม่ได้จะบอกว่าทุกคนเชื่อเหมือนกันหมดนะครับ” เขากล่าวเสริม

“แต่ผมกำลังบอกว่าแม้จะมีความคิดอื่นอยู่ ก็อยู่ในพื้นที่จำกัด และในความเป็นจริง คนที่อยู่ชายแดนก็อาจรู้สึกกับ ‘ชาติ’ ในแบบที่ไม่ต่างจากคนเมืองนักในแง่ของกรอบความคิดที่ถูกปลูกฝังมาเหมือนกัน”

แต่ถึงจะมีรากของชาตินิยมที่ใกล้เคียงกัน ธิบดีก็ชี้ว่าประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน ทำให้การรับรู้หรือความหมายของชาตินิยมในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน คนที่อาศัยอยู่แนวชายแดน ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนจากความขัดแย้ง ต้องเผชิญกับผลกระทบโดยตรง เช่น การสูญเสียเสรีภาพในการสัญจร หรือแม้แต่การที่ยังมีระเบิดหลงเหลือจากช่วงทศวรรษ 2520 ซึ่งยังไม่สามารถกู้ได้จนถึงปัจจุบัน

ถึงแม้คนชายแดนเหล่านี้จะไม่ออกมาต่อต้านแนวคิดเรื่องชาติ แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขา การทำมาหากิน ความปลอดภัย การรู้จักคุ้นเคยกับคนอีกฝั่งแดน ล้วนมีความสำคัญไม่น้อยกว่าความเป็นชาติแบบที่รัฐพยายามหล่อหลอม “เขาไม่ได้ไม่รักชาติหรอกครับ แต่เขารู้ว่าสงครามหรือความขัดแย้งมันกระทบกับชีวิตเขาโดยตรง ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่อยากให้เกิด”

ธิบดียังขยายความให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ไม่ใช่ว่าคนเมืองจะเข้มข้นกับชาตินิยมมากกว่าคนชายแดนเสมอไป แต่อาจเพราะคนเมืองไม่ได้เผชิญกับผลกระทบจากความขัดแย้งโดยตรง จึงมีระยะห่างกับประสบการณ์เหล่านั้น และอาจรู้สึกมีอิสระมากกว่าที่จะพูดถึงชาติในเชิงนามธรรม หรือเชียร์สงครามโดยไม่ต้องรับผล

รัฐ-ชาติ และอารมณ์สาธารณะที่ปนเป

บทสนทนากับธิบดีไหลเรื่อยมาถึงเหตุการณ์คลิปเสียงบทสนทนาระหว่างแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน ที่ทำให้เกิดกระแสสังคมที่รุนแรง ตั้งแต่การโจมตีอย่างหนักในโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการนัดหมายจัดม็อบไล่นายกฯ ด้วยข้อกล่าวหา 'ขายชาติ' หรือ 'ทำให้ชาติมีภัย' ซึ่งกระแสยังค้างอยู่แม้ผ่านมาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ อีกทั้งยังมีการนัดรวมตัวกันเพื่อแสดงความไม่พอใจในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้อีกด้วย

จากเหตุการณ์นี้ ธิบดีชวนมองให้ลึกลงไปให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความสลับซับซ้อนของแนวคิด 'รัฐ' กับ 'ชาติ' ที่มักถูกพูดถึงรวมกันเป็น 'รัฐชาติ' (Nation-State) แต่แท้จริงแล้วคือสิ่งที่แยกจากกันได้

“ในภาษาไทย เวลาเขียนคำนี้เราไม่เก็บ hyphen (ยัติภังค์ หรือเครื่องหมายขีด (-)) ไว้ แต่ในภาษาอังกฤษ Nation-State มันมี hyphen คั่น เพราะรัฐกับชาติไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”

รัฐในความหมายที่นักเรียนรัฐศาสตร์ถูกถามถึงองค์ประกอบสำคัญของมันอยู่หลายต่อหลายครั้ง หมายถึงโครงสร้างของอำนาจที่มีดินแดน ประชากร รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย แต่ชาติในฐานะจินตนาการร่วม หมายถึงความเป็นพวกเดียวกัน ความจงรักภักดี ความรู้สึกผูกพัน ที่เกิดจากการเล่าเรื่องซ้ำๆ จนกลายเป็นความรู้สึก

“ชาตินิยมมันวางอยู่บนอารมณ์ ความเป็นเขา ความเป็นเรา ความเป็นอื่น… ยิ่งเรารักชาติเท่าไหร่ บางครั้งเราก็รังเกียจชาติอื่นมากขึ้นเท่านั้น”

เมื่อคลิปเสียงหลุด การที่ผู้นำของเราไปเจรจาในทางลับกับผู้นำของอีกชาติหนึ่งจึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกตีความว่าเป็นการ 'ทรยศชาติ' หรือ 'ยอมเสียเปรียบในเขตแดน' ทั้งที่ในทางการทูต การเจรจานอกรอบเป็นเรื่องปกติ

“ถ้าเราบอกว่าทูตรับแผนที่ 1:200,000 นี่จะถือว่าขายชาติไหม? ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อในแผนที่ไหน และคุณให้ความสำคัญกับอะไร”

ธิบดีชี้ให้เห็นว่า มีความสับสนระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการตัดสินใจของรัฐบาล กับการมองว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขตแดนคือเรื่องชาตินิยมเสมอไป

“เรื่องเขตแดนมันมีด้านเทคนิค มีเรื่องที่ไม่ใช่อารมณ์ มีบางส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกชาตินิยมเลยด้วยซ้ำ”

แต่ในสถานการณ์จริง สองเรื่องนี้กลับถูกนำมาปนกันโดยง่าย ชาตินิยมจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรื่องการบริหาร กลายเป็นการหักหลังชาติ และทำให้การพูดคุยระหว่างรัฐถูกตีความในเชิงศัตรู “ตอนนี้สองเรื่องนี้มันปนกัน… ปนกันจนแยกไม่ออก” ธิบดีกล่าว

‘กองทัพ’ ผู้เล่นหลักในเกมชาตินิยม

“คุณเห็นไหมล่ะเมื่อตอนเกิดเหตุปะทะใหม่ๆ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” ธิบดีตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกเย้านิดๆ เมื่อถูกถามความเห็นถึงบทบาทกองทัพในการสร้างหรือรักษากระแสชาตินิยม ก่อนจะเล่าต่อว่ากองทัพไทยก็เป็นเรื่องเล่าอีกแบบหนึ่งที่ผูกติดไว้กับความเป็นชาติ

หากลองมองผ่านสายตาประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าแห่งชาติที่กองทัพสถาปนาตัวเองไว้ภายในนั้น จะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งเลยว่ากองทัพส่วนใหญ่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเรื่องเล่าที่ผูกไว้กับเอกราชของชาติ

“เรื่องเล่าของกองทัพสัมพันธ์กับเรื่องของชาติและชาตินิยม ไม่เคยขาดจากกัน และกองทัพส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็จะเป็นแบบนั้น นี่อาจจะช่วยตอบคำถามเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ก็ได้นะว่าทำไมชาตินิยมถึงเข้มข้นในแถบนี้ เพราะกองทัพมีส่วนสำคัญในการขับไล่เจ้าอาณานิคมออกไป แม้ว่าจะไม่ทุกประเทศ แต่กองทัพไม่เคยแยกขาดจากการเมือง หรือจากชาติ ความล่มสลายของกองทัพหมายถึงความล่มสลายของชาติ”

แม้ว่าไทยจะไม่ได้มีประวัติศาสตร์การปลดแอกจากเจ้าอาณานิคมดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน แต่ธิบดีกล่าวว่า กองทัพไทยเลือกจะสถาปนาความชอบธรรมของตนเองผ่านเรื่องเล่าในอดีตที่ไกลออกไป เช่น สมเด็จพระนเรศวร และพระเจ้าตากสิน ซึ่งถูกเชิดชูในฐานะวีรบุรุษกู้ชาติ และถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำกองบัญชาการกองทัพบกและกองทัพเรือ

“ในประวัติศาสตร์ กองทัพมีบทบาทหรืออาจ ‘บอกว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญ’ ในการต่อสู้เพื่อรักษาและกอบกู้เอกราช รวมถึงขยายอำนาจเขตแดน ดังนั้นกองทัพจึงผูกตัวเองเข้ากับเรื่องแบบนี้ หรือผูกตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าของชาติ”

ความคิดที่ว่ากองทัพเป็น ‘รั้วของชาติ’ จึงไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นการวางตำแหน่งแห่งที่ตัวเองในโครงสร้างชาติอย่างแนบแน่น เป็นรั้วที่มีหน้าที่ปกป้องบ้านจากผู้รุกราน และอาจรวมถึงการจัดระเบียบภายในบ้านด้วย

“ประเด็นคือผมไม่คิดว่ากองทัพทำแบบนี้เพื่อให้คนไทยรักชาติกันมากขึ้น แต่เขาทำเพื่อให้เห็นว่ากองทัพเองที่รักชาติ และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องชาติ”

ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับชาตินิยม ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสื่อสารหรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือการจัดวางตัวเองไว้ในฐานะผู้มีความชอบธรรมทางอำนาจ ไม่ใช่แค่ในยามสงคราม แต่ในยามปกครองก็เช่นกัน

“ผมคิดว่าเขาเชื่อจริงๆ ว่าเขาเป็นผู้ปกครองที่ดีกว่าพลเรือน หรือคิดว่าทำได้ดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม ธิบดีก็ชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้ง เมื่อข่าวสารจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงปัญหาภายในกองทัพเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้ายา ค้าไม้ การขัดผลประโยชน์ที่แนวชายแดน หรือแม้แต่ความรุนแรงที่เกิดจากข้อตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว

“เอาเข้าจริงคงมีทั้งความรู้สึกรักชาติจริงๆ และเรื่องอื่นๆ ที่ปนอยู่ด้วยกันจนแยกไม่ออก ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ทหารรักชาติจริงหรือไม่ แต่อยู่ที่เขารู้จริงหรือเปล่าว่าหน้าที่ของตนคืออะไร” ธิบดีทิ้งท้าย

อ้างอิง:

ชาตินิยม - ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [23-27 มิ.ย. 2568]

30 นาทีที่แล้ว

‘ชาร์มห้อยกระเป๋า’ เทรนด์ประดับกระเป๋าด้วยของกุ๊กกิ๊กแสดงออกถึงตัวตนของเราได้ยังไง?

10 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

YUYUAN LANTERN FESTIVAL 2025

BLT BANGKOK

"ดร.พีท" แนะหนุ่มสาวออมด้วย ใช้เงินด้วย อย่าให้ไลฟ์สไตล์ชีวิตเสีย

ประชาชาติธุรกิจ

โรงเรียนรุ่งอรุณ สอนการจัดการขยะที่ให้ลงมือทำ ไปพร้อม ๆ กับให้ความรู้ในห้องเรียน

Environman

แอนโทเนีย โพซิ้ว เปิดตัวเป็นเมนเทอร์คนล่าสุดของ The Face Thailand 6

THE STANDARD

คนเก่งจริงต้องกล้ารับคำติ ทักษะนี้ช่วยเติบโตก้าวไกลกว่าเดิม

กรุงเทพธุรกิจ

‘ยิ่งไม่ได้ลงเอยด้วยกัน ยิ่งสวยงาม’ ทำไมการไม่ปรารถนาจะครอบครองกันถึงโรแมนติก?

The MATTER

สำรวจเส้นทาง แอนโทเนีย โพซิ้ว รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 สู่เมนเทอร์ The Face Thailand 6

THE STANDARD

เปิดรายละเอียด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” รอบประชาชนลงทะเบียน 1 ก.ค. นี้ ลงก่อนได้ก่อน จำกัด 5 แสนสิทธิ์

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

“ยิ่งเรารักชาติเท่าไร บางครั้งเราก็รังเกียจชาติอื่นมากขึ้นเท่านั้น” ‘เรื่องเล่าแห่งชาติ’ ถ้อยคำในประวัติศาสตร์ ว่าด้วยชาตินิยม พรมแดน และกองทัพ กับ ผศ.ธิบดี บัวคำศรี

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...