ดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ ร่วงกว่า 500 จุด กดดันจ้างงานอ่อนแอเกินคาด-มาตรการภาษีทรัมป์
ดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ ร่วงกว่า 500 จุด กดดันจ้างงานอ่อนแอเกินคาด-มาตรการภาษีทรัมป์
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -4 ส.ค. 68 7:43: น.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบทั้งกระดานในวันศุกร์ (1 ส.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดลดลง 542.40 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงหนักสุดในรอบกว่า 2 เดือน จากแรงเทขายอย่างหนักเนื่องมาจากมาตรการภาษีชุดใหม่ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากหลายประเทศ และรายงานตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดลดลง 542.40 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 43,588.58 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 101.38 จุด หรือ 1.60% ปิดที่ 6,238.01 จุด และดัชนีแนสแดค ปิดลดลง 472.32 จุด หรือ 2.24% ปิดที่ 20,650.13 จุด
โดยดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดค ปรับตัวลดลงในวันเดียวมากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. และวันที่ 21 เม.ย. ตามลำดับ ขณะที่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 2.92% ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.36% และดัชนีแนสแดค ลดลง 2.17%
รายงานของสำนักสถิติแรงงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. ยังชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ขณะที่ตัวเลขหลังปรับทวนแล้วเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 14,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี
ขณะที่ผลสำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ยอดจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 110,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่เคยรายงานตัวเลขในเดือนมิ.ย. ไว้ที่ 147,000 ตำแหน่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานอาจเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอลง หลังประกาศตัวเลขจ้างงาน หลังประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สั่งปลดเอนริก้า แอล แมคเอนทาเฟอร์ (Erika L. McEntarfer) ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่าบิดเบือนข้อมูล
รายงานจ้างงานที่อ่อนแอทำให้มีความคาดหวังเพิ่มขึ้นมากว่า เฟดจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. โดยข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่ามีโอกาส 86.5% ที่ เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. โดยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 37.7% ในวันก่อนหน้า
ตลาดยังเผชิญกับข่าวการลาออกก่อนกำหนดของอาเดรียนา คูเกลอร์ (Adriana Kugler) ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีผลในวันที่ 8 ส.ค.นี้ โดยการลาออกครั้งนี้ ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถแต่งตั้งผู้ว่าการคนใหม่ได้ ขณะที่เขายังกดดันนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ให้เร่งลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อบังคับใช้ภาษีนำเข้ากับสินค้าจากหลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา, บราซิล, อินเดีย และไต้หวัน ซึ่งถือเป็นมาตรการรอบล่าสุดในขณะที่ประเทศต่าง ๆ พยายามหาทางเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงที่ดีขึ้น
ด้านดัชนี CBOE Volatility Index ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกกังวลของตลาด ปิดเพิ่มขึ้น 3.66 จุด แตะที่ระดับ 20.38 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่กดดันตลาดหุ้นคือ ราคาหุ้นของบริษัท Amazon ที่ดิ่งลงถึง 8.3% หลังบริษัทประกาศผลประกอบการรายไตรมาสแต่กลับไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนักลงทุนในส่วนธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้ง Amazon Web Services (AWS) และฉุดดัชนีดาวโจนส์ ดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดค อีกทั้งยังส่งผลให้ดัชนีกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ลดลงเกือบ 3.6% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำผลงานแย่ที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวนในดัชนี S&P 500
ขณะที่หุ้น Apple ปรับตัวลดลง 2.5% แม้บริษัทจะคาดการณ์รายได้ในไตรมาสปัจจุบันสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทก็ตาม แต่ทิม คุก ซีอีโอของบริษัทเตือนว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทถึง 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ