ส่งออกมันฯ 1.1 แสนล้านป่วน ‘ทรัมป์’ บีบขายข้าวโพด แย่งตลาดโลก
แม้ภาพรวมจะยังเป็นบวก แต่หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับสินค้าสินค้านำเข้าจากคู่ค้าทั่วโลกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568
ทั้งนี้สหรัฐบีบให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรของสหรัฐภาษีเป็น 0% โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สหรัฐเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ โดยที่มันสำปะหลังของไทยเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่เป็นคู่แข่งกับข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ สถานการณ์จากนี้จะเป็นอย่างไร“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายดุสิต พิทยาธิคุณ” นายกสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย คนล่าสุด ถึงสถานการณ์ปัจจุบันคู่แข่งแต่ละประเทศ รวมความได้เปรียบ-เสียเปรียบ และโอกาสที่ประเทศไทยจะรักษาการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเบอร์ 1 ของโลกต่อไป
นำเข้าข้าวโพดสหรัฐป่วนโลก
นายดุสิต กล่าวว่า ในปี 2567 ไทยสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังได้รวม 6.47 ล้านตัน สร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 110,255 ล้านบาท (ในส่วนแป้งมันฯ ปี 67 มูลค่าส่งออกกว่า 92,407 บาท) ขณะในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ทุกผลิตภัณฑ์แป้งมันฯ มีปริมาณรวม 2.22 ล้านตัน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3% แบ่งเป็น แป้งมันธรรมชาติ 1.67 ล้านตัน, แป้งแปรรูป 0.53 ล้านตัน และสาคู 22,365 ตัน อย่างไรก็ดีในแง่มูลค่าลดลง เนื่องจากราคาโภคภัณฑ์ทั่วโลกราคาตก สาเหตุจากผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวโพด เป็นต้น รวมถึงเศรษฐกิจโลกซบเซา ทำให้ความต้องการใช้ทั่วโลกลดลง
“สิ่งที่เป็นความกังวลหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศภาษีของแต่ละประเทศแล้ว แต่ละประเทศจะต้องนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ อเมริกา ซึ่งสินค้าหลักคือ ข้าวโพด โดยเฉพาะจีนที่เป็นตลาดใหญ่ ก็ถูกสหรัฐบีบให้ซื้อข้าวโพดเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าวโพดสหรัฐเป็นข้าวโพด GMO ผลิตได้ในปริมาณมาก การที่จีนถูกบีบให้ซื้อข้าวโพดสหรัฐ จะส่งผลให้ซื้อมันสำปะหลังไทยลดลงและราคาจะปรับตัวลดลง เพราะเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้”
ขณะเดียวกันปริมาณข้าวโพด และถั่วเหลืองที่ไทยจะนำเข้าจากสหรัฐ หลังปิดดีลภาษีที่ 19% เวลานี้ก็ยังไม่ทราบความชัดเจน ดังนั้นจึงยังประเมินยากว่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศมากน้อยเพียงใด และประเทศที่ถูกสหรัฐบีบให้ซื้อสินค้าเกษตร จะยังมาซื้อสินค้ากับไทยหรือไม่ ยังต้องคอยติดตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตอบในเวลานี้
จ่อเลิกปลูกข้าวโพด หันปลูกมัน
อย่างไรก็ดีการที่ไทยเปิดนำเข้าข้าวโพดสหรัฐฯ สมาคมฯประเมินว่าจะมีผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะราคาข้าวโพดในประเทศ ทำให้ในอนาคตเกษตรกรอาจจะปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกลดลง หรือปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อเพาะปลูกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่สามารถคาดเดาว่าจะปรับเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด จนกว่าจะทราบตัวเลขการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐที่ชัดเจนตามข้อตกลง ส่วนคู่แข่งในสินค้ามันสำปะหลังอย่าง สปป.ลาว เวลานี้มีเอกชนจีนไปตั้งโรงงานแปรรูปเพื่อส่งออกไปจีน เรียกว่า ทำเอง ส่งเอง แต่คุณภาพยังไม่ได้ ต้องใช้เวลาพัฒนา 3-5 ปี
ส่วนเวียดนาม มีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนตํ่ากว่าและค่าเงิน โดยช่วง 6 เดือนแรกค่าเงินด่องเวียดนามอ่อนกว่าไทย 2-3% ขณะที่ไทยค่าเงินแข็งขึ้นมา 6% กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย แม้สินค้าจะมีมีคุณภาพก็ตาม ดังนั้นเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐจะทำอย่างไรในเรื่องเพิ่มผลผลิต ลดราคาปุ๋ย เพิ่มระบบชลประทาน ซึ่งไม่ควรให้เกษตรกรแบบให้เปล่า เพราะจะไม่มีเกิดการพัฒนาให้ดีขึ้น
เร่งหาตลาดใหม่ลดพึ่งจีน
นายดุสิต กล่าว ปัจจุบันมีสมาชิกในสมาคมมีอยู่ประมาณ 100 โรงงาน แต่ละโรงโดยเฉลี่ยใช้กำลังการผลิต 60-65% คิดเป็นหัวมันสำปะหลังสด 24-25 ล้านตัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต้องนำเข้ามาเพื่อทดแทนการผลิตที่เคยใช้สูงสุด 35-36 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตหัวมันทั่วประเทศเฉลี่ย 3.6-3.7 ตันต่อไร่ ในอดีตเกษตรกรเคยขายหัวมันได้ไร่ละประมาณ 10,000 บาท แต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยผลผลิตไม่ถึง 2.7 ตันต่อไร่ จะต้องขายให้ได้กก.ละ 4 บาท เพื่อให้ได้ไร่ละ 10,000 บาท ถือว่าไม่ถูกต้อง
สำหรับการหาตลาดใหม่ ทาง 4 สมาคมมันสำปะหลัง ร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ และเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้หาโอกาสเปิดตลาดเพิ่ม เช่น ตะวันออกกลาง ที่นำมันเส้นและมัดอัดเม็ดไปใช้ผลิตอาหารสัตว์ และรวมถึงการเร่งรัดให้การจัดทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป และการหาตลาดเพิ่มในอินเดีย และญี่ปุ่น ที่เป็นตลาดใหญ่แต่มีกำแพงภาษีสูงมาก หากทำสำเร็จสินค้าในกลุ่มแป้งมันจะเติบโตได้อีก โดยไม่พึ่งจีนเพียงตลาดเดียว
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,126 วันที่ 28 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568