จากวิ่งแก้ผ้ารอบอนุสาวรีย์สู่ตำนานบั้งไฟฟิล์ม “เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา” โคตรตลกหัวเราะยาก
พ.ศ. 2547 เกิดคลื่นที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยไม่แค่กระเพื่อม แต่สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง เพราะยังถูกนำมาฉายซ้ำบนจอแก้วในทุกคืนศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ด้วยสโลแกนของช่องว่าฟรีทีวีที่ฉายหนังไทยมากที่สุด และฉากติดตาคือชายหน้าเหลี่ยมที่วิ่งแก้ผ้าหนีคนไล่ล่า มือข้างหนึ่งถือปืน มือข้างหนึ่งถือถ้วยใบเล็กปิดของลับ จากรอบอนุสาวรีย์ชัยที่เป็นทางผ่านของรถโดยสารแทบทุกสาย สู่การยกแขนจำนนต่อตำรวจ ทั้งรถโรงพยาบาลศรีธัญญากำลังแล่นมารอรับตัวเขา
หากไม่ใช่ฉากหนังในภาพยนตร์ ใครก็ว่าเขาอาจเสียสติไปแล้ว แต่เพราะชายหน้าเหลี่ยมคือตัวหลักสำคัญของภาพยนตร์ “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม”
“เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา” หรือ“หม่ำ จ๊กมก” ฉายาประจำตัวที่เมื่อพูดขึ้นเป็นอันรู้กันว่าคนๆ นี้กร้านวงการตลกขนาดไหน ในอายุวัยย่าง 60 ปีของเขา มาพร้อมกับริ้วรอยบนหน้าผาก ใบหน้าซีเรียสเคร่งขรึม ดูยิ้มไม่เก่งเท่าไหร่ ทว่ากลับกลายเป็นอัจฉริยะผู้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกยุคสมัย ก่อนที่คำนำหน้าชื่อจะเป็นนายเสียด้วยซ้ำ
เราพาดหัวถามเขาว่าความฝันแรกคืออะไร คนตรงหน้าตอบด้วยแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรงต่อตัวเอง “แบบที่เป็นอยู่นี่แหละ” ราวถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นตลก เมื่อย่างเข้า 17 ปี หม่ำว่าเขาหนีออกจากถิ่นยโสธรสู่เมืองกรุง เพราะรู้ว่าอยากจะทำอะไร และอยากจะเป็นใคร เขาไม่รอให้เวลามาพิสูจน์เขา แต่เขาชิงพิสูจน์ตัวเองให้เวลาเห็น
ปลดเปลื้องตลก
เด็กชายหม่ำเป็นเด็กอย่างไร
เป็นเด็กที่เบื่อพ่อแม่เพราะนึกว่าเขาไม่รัก เบื่อเพื่อนด้วย มันชอบดมกาว ดูดกัญชา สูบบุหรี่กัน แต่เราไม่ชอบอะไรสักอย่างเลย คิดว่าอยู่ไปก็คงเป็นแบบพวกมึงนี่แหละนะ หนีออกจากบ้านไปกรุงเทพแล้วตายเอาดาบหน้าดีกว่า ไม่ต้องรู้จักใครด้วย ตอนนั้นเราไปทำงานอยู่ตามวงลูกทุ่ง วงดนตรี
สมัยก่อนความฝันการเป็นดารา เป็นตลกที่เรามีก็ไม่ได้แปลกอะไรในสายตาคนอื่น เพราะทุกคนก็เห็นว่าเราชอบร้อง รำ เป็นคนสนุกสนาน ถ้านั่งเฉยๆ หน้าตาก็จะดูเครียดๆ แต่เมื่อไหร่ที่ 5 4 3 2 องค์ลงเลยนะ เล่นมาตอบไป เล่นไปตอบมา ตอนนั้นเราเป็นตลกที่อายุน้อยมาก ด้วยวัย 17 ก็ฉายแววตั้งแต่เด็ก
มีคนบอกเหรอว่าเราเป็นคนตลก
พวกเพื่อนๆ น่ะแหละ แต่เราเองก็เป็นคนมองอะไรเป็นเรื่องตลกไปหมด อย่างเห็นคนต่อยกันเพราะรถชนก็ยังยืนหัวเราะเลย จะต่อยกันทำไมก็เรียกประกันสิ เสียค่าปรับแล้วยังปากแตกอีก เหมือนงานแต่งงาน งานบวชทำไมต้องใส่ชุดสีขาว งานศพทำไมต้องใส่สีดำ เราเป็นคนมองสวนทาง
เป็นคนตลกทุกเรื่องเลยหรือเปล่า
ค่อนข้างจะซีเรียสด้วยซ้ำนะ เป็นคนช่างคิด นั่งคิดคนเดียว ไม่ค่อยอยากยิ้มให้ใครด้วย สมมตินั่งๆ อยู่ เรายิ้มให้คนที่เดินผ่านมา เขาคงไอ้เหี้ยหม่ำนี่บ้าเปล่าวะ (หัวเราะ) เรื่องเมียแหละที่เราขำไม่ค่อยออก แต่แกล้งหูหนวกตาบอดไปจะได้ไม่ทะเลาะกัน เราเป็นคนหัวเราะยาก นอกจากจะถูกใจจริงๆ ถึงหัวเราะออกมา
การเป็นตลกนี่ยากไหม
อะไรที่เรารักมัน เราจะไม่เบื่อมันหรอก คนเกิดมาเพื่อเป็นนักการเมืองก็เพื่อเป็นนักการเมือง คนเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนั้น มันต้องรักสิ่งนั้นด้วย ฝึกฝน เอาใจใส่จะทำให้เราอยู่ได้ จนกว่าจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแล้วก็ตายไป ทดลองสองสามครั้งเราก็คงรู้แล้วว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรา ทำสิ่งที่เราชอบที่เรารักก่อน แล้วความสุขสบายมันจะตามมาเอง
รู้ได้อย่างไรว่าถ้าเล่นมุกนี้ไปแล้วคนจะหัวเราะ
เราไม่มีทางรู้เลย แต่จะเดาได้จากสายตา ดูได้จากสถานการณ์ ตลกบางคนขึ้นเวทีไปก็สักแต่จะเล่นหัว ไหล่ ตูด โดยที่ไม่ทันดูเลยว่าแขกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง ทำอะไรกันอยู่ ใครจะไปขำล่ะ ต้องดูด้วยว่าพูดเรื่องผู้หญิงไปเขาจะชอบไหม ถ้าไปเล่นให้คนที่ทำงานตลาดหลักทรัพย์ฟัง แต่พูดเรื่องรถไฟ เขาก็คงไม่รู้เรื่อง เราต้องพูดเรื่องหุ้น ธุรกิจ เกี่ยวกับเงินทั้งหลายแหล่ ต้องเป็นคนช่างสังเกต แต่เราไม่มีโทรศัพท์ เราจำเอาอย่างเดียว
ตลกรอบตัว
ไม่เพียงแค่ความตลกที่คงเส้นคงวาอยู่ในตัวเอง แต่เด็กชายหม่ำยังถ่ายทอดทักษะความตลกให้น้องสาว เขาช่วยฝึกฝนให้น้องเล่นตลกได้กระทั่งมีแวว จ๊กมกตามมา ด้วยคติสอนว่าอย่างไรเสีย ก็ต้องเป็นตัวเองก่อนเสมอ
เครื่องมือในการใช้เล่นตลกสำคัญไหม
พวกถาดเถิดเหรอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้หมดยุคแล้ว สมมติพูดว่าโทรหากูต้องโทรเข้าเบอร์บ้านนะ เชยไหม เชยสิ ตอนที่เราเปิดคณะของตัวเองก็เหมือนกัน มันเฟื่องฟูได้เพราะเป็นยุคคาเฟ่ที่คนยังต้องมาดูตลกกันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีนักร้องมาคล้องมาลัย ตีหัวกันเป๊าะแป๊ะ ไม่เหมือนเก่าแล้ว โลกมันเปลี่ยน แต่อย่าเปลี่ยนใจเท่านั้นเอง
วัดจากอะไรว่าคนๆ นี้เล่นตลกเข้าขากับเราได้
แป๊บเดียวก็รู้แล้ว เล่นครั้งเดียวก็ดูง่าย คนที่ตลกอะไรก็เล่นได้เนี่ยน่ากลัวที่สุด แต่ตลกล็อกเล่นอะไรก็เดาได้ ถ้าจะเล่นกับเราได้ต้องเป็นคนที่มีทักษะ ช่างคิด มองมุมเดียวกับเรา เหมือนที่เราหัวเราะเพราะคนต่อยกัน เขาจะหัวเราะเหมือนเราหรือเปล่า
เท่งและโหน่งมีอะไรพิเศษที่ทำให้เข้าขากับเราได้มากที่สุด
เพราะเราอยู่ด้วยกันมานาน แต่พอแยกย้ายกันแล้ว แก๊งสามช่าก็กลายเป็นตำนานเล่าขานกันไป แต่เราก็ยังอัปเดตมุกกันอยู่ตลอดนะ ถ้าเล่นแต่อะไรเก่าๆ ใครจะมาดูเรา ยิ่งเราไม่มีค่าย ไม่มีสังกัด จะเล่นอะไรก็เล่นไป แค่ต้องพัฒนาให้ทัน
เมื่อพูดถึงชื่อหม่ำ อีกสองชื่อที่มักจะแล่นมาในทันที คือเท่งและโหน่ง หนีไม่พ้นภาพรายการชิงร้อยชิงล้านที่แจ้งเกิดดาวตลกสามดวง ความเป็นสหายเรียกเสียงฮาแสตมป์อยู่ในใจผู้ชมนับตั้งแต่ พ.ศ. 2533 ด้วยเคมีที่เข้ากันดีเหลือเกินบนรายการเกมโชว์ผสมผสานความเป็นละครเวที ฉากที่หมุนเปลี่ยนไปพร้อมกับไหวพริบของพวกเขาเริ่มด้วย“หม่ำ จ๊กมก” หน้าตานิ่งขรึม ใช้ท่าทางความไม่ประสีประสาเข้าสู้ “เท่ง เถิดเทิง” คนคารมคมคายผสมมุกหยอด และ “โหน่ง ชะชะช่า” ตัวแทนของความเปิ่น คอยสวมบทบาทล้มลุกคลุกคลาน เพราะเป็นตัวโดนอยู่บ่อยครั้ง
ปฏิภาณที่ทั้งสามมีทำให้ผู้ชมเดากันไม่ถูกว่าวันนี้พวกเขาจะมาไม้ไหน กลายเป็นตัวละครลับทำให้ประหลาดใจเสมอ แม้จะถูกวางเป็นตัวละครหลักก็ตาม จวบจนวันนี้ที่ปฏิทินอยู่ใน พ.ศ.2568 แล้ว แต่ยอดวิวคลิปเก่าๆ ยังคงเคลื่อนขยับ ผู้คนโหยหาเสียงหัวเราะจากผู้สร้างทั้งสาม และพวกเขาเองก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก อีกอึดใจเดียวนะ จะได้รู้กันแล้วว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
ตลกพุ่งทะยาน
ทำไมถึงเริ่มเขียนบทและผลิตหนัง
ชอบดูหนัง เมื่อก่อนก็แสดงหนังนะ เช่น ในเรื่อง“บ้านผีปอบ” เขาก็บอกกันปากต่อปากเลยว่าหนังผีต้องมีหม่ำ ถ้าไม่มีหนังไม่จบ ยุคนั้นยังเป็นหนังฉายอยู่เลย เราเรียนรู้ว่าเขาถ่ายกันอย่างไรมาจากตรงนั้น ไม่ใช่สักแต่จะเล่นนะ วิ่งเข้าขวาออกซ้าย หน้าตรงกล้องตรง เลนส์เท่าไหร่ เป็นคนช่างสังเกต พอเรามาทำหนังแล้วก็ง่ายขึ้น แค่ต้องเรียนโครงสร้าง สตอรีให้ชัดเจน
ถ้าจะทำหนังรักแบบมีเพลงอีสานด้วยจะเป็นอย่างไร ยุคนั้นไม่มีใครกล้าทำหนังอีสานหรอก เพราะกลัวคนจะดูไม่รู้เรื่อง แต่เรากล้า เพราะอยากเรียนรู้ว่าถ้ามีหนังแนวนี้มาให้ดู คนเขาจะดูไหม ถ้าไม่ดูก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราทำพลาดไป ผิดเป็นครูอยู่แล้ว ไม่มีใครเกิดมาแล้วฉลาดเลยหรอก มันต้องโง่มาก่อน
อย่างหนัง “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” แทบจะไม่เห็นรอยยิ้มเราเลย หน้าขรึมตลอด คนมันก็ตลกว่าทำไมมึงต้องเก๊กหน้า จริงๆ บอดี้การ์ดก็เป็นแบบนั้นแหละ พูดน้อย คือต้องเข้าใจโครงสร้างที่มีมาก่อน อย่าทำให้ความเชื่อหายไปซะทั้งหมดนะ ถ้าคนเขาเชื่อแล้ว เขาจะรู้เลยว่านี่คือบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม อ้ายแหยม หรือขุนบันลือ ถ้าทำหนังปล่อยตัวอย่างไปสัก 5-10 นาที ให้คนมองแวบเดียวแล้วรู้สึกว่าเออ มันใช่ว่ะ หนังก็จะไปของมันเองเลย แค่เดินสะดุดก็ฮาแล้ว
ถ้าผลตอบรับของหนังเรื่องแรกไม่ดีล่ะ
ก็อาจจะไม่มีหนังเรื่องต่อไปก็ได้ แต่เราได้กระแสตั้งแต่หนังยังไม่ฉายแล้ว เพราะไปวิ่งแก้ผ้าจนขึ้นโรงพักเสียค่าปรับ เราเป็นตลกคนแรกเลยนะที่ทำหนังแอกชัน วิ่งแก้ผ้าที่อนุสาวรีย์ชัยจนลงข่าวหน้าหนึ่งทุกสำนักเลย ใจถึงมากเห็นไหม แค่ต้องอธิบายให้ฟังว่ามีที่มาที่ไปในการทำแบบนี้ ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปวิ่งแก้ผ้าเลย ดูอย่างหนังเฉินหลงสิ บ้านเขาก็ยังเป็นหนังตลกเห็นก้นกันได้เลย
ดูหนังประเภทไหนบ้าง
ดูทุกแนว ทั้งของไทย ของต่างประเทศ หนังอินเดียเราก็ดูยังรู้สึกว่าทำสู้เขาไม่ได้ โห! เขาอลังการงานสร้าง ไม่มีขาดทุนหรอก ตอนเขียนบทก็ดูหนังสือมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่เวลาให้แสดงจริงๆ ไม่ค่อยเป็นไปตามนั้น ถ้าลองถามนักแสดงดู เขาจะไม่ค่อยได้พูดบทที่ท่องกันมาหรอก ด้นสดเอาเลย
จริงไหมที่เคยบอกว่าหนังผีเป็นหนังที่ไม่กล้าทำที่สุด
เราไม่กล้าทำเพราะเป็นคนไม่กลัวผี นึกไม่ออกเลยว่าผีจะน่ากลัวตรงไหน ไม่ได้หมายความว่าเดินผ่านหลุมศพแล้วจะไปลบหลู่นะ ตีหนึ่งตีสองเดินผ่านได้หมดแหละ ถ้าเจอจริงๆ ก็คงจะถามว่ามึงจะมาบีบคอกูด้วยเรื่องอะไร หรือถ้าถึงที่ตายแล้วจริงๆ กูตายซะเลย แต่จะจองล้างจองผลาญมึงนะ
แต่มีหนังเรื่องหนึ่งที่เรากลัว Soundscore เขา เรื่องกระชากลงหลุม Drag Me to Hell ที่จัสติน ลอง แสดงนำ เขาคิดเสียงขึ้นมาได้อย่างไร (หม่ำทำเสียงตุ่งตุ่งตุ่ง แคร่กๆๆ ยกตัวอย่าง)
อย่างภาพยนตร์ “นากรักมาก ม๊ากมาก” ที่เราทำน่ากลัวมากหรือเปล่า
มันเป็นหนังน่ารักมากกว่า คนก็จะรู้กันดีว่านากท้อง ตายแล้วจะไปออกอาละวาด แต่เราไม่เอา เราโล๊ะใหม่ ต้องไปดูนะ ได้ยิ้ม ได้น้ำตาซึมด้วย เราไม่รู้กันหรอกว่านางนากอายุเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าไอ้มากเป็นคนพระโขนงจริงหรือเปล่า เขาอาจจะเป็นคนบางจากก็ได้ แค่ต้องเอาสิ่งเก่ามาเล่าใหม่
แต่นแต๊น! และหม่ำ เท่ง โหน่งอยู่ที่นี่! พวกเขากลับมารวมตัวกันสร้างภาพยนตร์ “นากรักมาก ม๊ากมาก” ที่คราวนี้ก็ยังหอบเซอร์ไพรส์มาฝากคนดูได้อีกเช่นเคย เพราะโหน่งลงแรงเป็นถึงผู้กำกับ โดยมีเพื่อนซี้ทั้งสองคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง หากคุณเคยดู “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2” คงจะได้เห็นลองเทคไร้สคริปต์ในตำนาน
“ไอ้หม่ำ เอากูอีกแล้วใช่ไหม เรื่องแรกกูไม่ได้พูดไม่เป็นไร นี่ภาคสองกูไม่ได้พูดแล้วยังตายอีก นี่มึงเอากูมาฆ่าเหรอไอ้หม่ำ” ร้อยกรองที่โหน่งฝากไว้ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ ถ้าอยากรู้ว่าในภาพยนตร์ที่โหน่งผงาดขึ้นเป็นผู้กำกับครั้งแรก ใครจะได้ฆ่าใครกันแน่ คงต้องจองตั๋วเข้าไปหาคำตอบกันให้กระจ่าง
60 ยังหม่ำอยู่
นอกจากวงการบันเทิงแล้ว มีอะไรที่เราสนใจอยู่อีกไหม
ไม่มีหรอก เราทำมาหมดทุกอย่างแล้ว คงเหลือแค่เป็นนายกรัฐมนตรี (หัวเราะ)
การเป็นตลกให้อะไรกับหม่ำบ้าง
เรารู้สึกมีความสุขนะ เวลาที่ทำให้คนมีรอยยิ้มได้ ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ ต่อให้เราเลิกเล่นไป เขาอาจจะกลับไปทุกข์เหมือนเดิมก็เถอะ เหมือนบวชแล้วไม่ได้ช่วยให้คลายทุกข์คลายโศก ถ้าเรายังอมทุกข์อยู่ อย่างไรมันก็ทุกข์ เหล่านี้เป็นปัญหาของความสุขเหมือนกัน
ถ้าทุกอย่างในชีวิตลงตัวจริงก็คงจะทำให้มีความสุขได้ ไม่มีหนี้สิน รอดูลูกหลานเกิด วัยเราก็เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว คิดทุกวันว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวกูหนอ เราคงไม่อยู่ทันเห็นหลานแต่งงานหรอก กลัวจะเอ๋อซะก่อน รอให้เขามาเยี่ยมมาเยียน
ถ้าเหลือเวลาชีวิตอีกหนึ่งปี อยากจะทำอะไร
คงแค่อยากบอกลูกบอกเมียว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร อยู่ในวันข้างหน้าอย่างไร เพราะโลกก็จะเปลี่ยนไปเสมอ ชีวิตเป็นวงโคจรเหมือนล้อเกวียน เหมือนวงเวียนของดวงดาว
เราพยักหน้าช้าๆ รับประโยคสุดท้ายอย่างเข้าใจ แม้มุกตลกจะวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด มันสมองคิดวกวนพลิกแพลงถึงวันข้างหน้า แต่หัวใจหม่ำ จ๊กมก และเนื้อแท้ของเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลามีแต่ครอบครัวของเขาอยู่ข้างใน