“สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ในไทยที่เกิดจากสนธิสัญญากับฝรั่ง ใช้เวลาถึง 68 ปี จึงสิ้นสุด
“สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เกิดจากการที่อังกฤษต้องการจะมีอภิสิทธิ์พิเศษเรื่อง “สถานะ” สำหรับพ่อค้าอังกฤษในประเทศจีน โดยอ้างว่ารัฐบาลจีนกีดกันสิทธิเสรีภาพและสถานะของชาวตะวันตก ทำให้พวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง ทั้งยังเจรจากับรัฐบาลจีนเรื่องที่ดิน “เขตสัมปทาน”
นั่นคือต้นทางของ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต”
ไฟไหม้ฟาง
ในเขตสัมปทานดังกล่าว กงสุลอังกฤษคือผู้มีอำนาจเต็มในการว่าราชการ, มีอำนาจออกโฉนดขายหรือให้เช่าแก่คนของตน, เป็นผู้พิพากษาตุลาการชำระคดีข้อพิพาทต่างๆ ฯลฯ ขณะที่รัฐบาลจีน, กฎหมายจีน ไม่มีอำนาจใดๆ ในพื้นที่นั้น
เมื่อได้สิทธินอกอาณาเขตจากจีนแล้ว อังกฤษก็เริ่มเรียกร้องจากรัฐบาลประเทศอื่นๆ
พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงตระหนักว่า ไม่ช้าอังกฤษก็คงจะเข้ามาขอทำสนธิสัญญากับสยามเช่นกัน จึงทรงเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง ข้าหลวงใหญ่อังกฤษ ณ ฮ่องกง เข้ามาเจรจาทำสัญญากัน ด้วยทรงเชื่อว่าจะดีกว่าถูกบังคับขู่เข็ญในภายหลัง
หากอังกฤษเห็นว่า กิจการศาลของไทยและกฎหมายของไทยที่ใช้อยู่ในสมัยนั้นล้าหลังและทารุณ เช่น ในการพิพากษาคดี ถ้าต้องพิสูจน์ความผิดแล้ว ต้องกลืนตะกั่ว, ลุยไฟ ฯลฯ ขณะที่การพิพากษาลงโทษก็รุนแรงไม่แพ้กัน เช่น ถ้าหญิงมีความผิดฐานเป็นชู้ให้โกนศีรษะ, เอาขึ้นขาหยั่งประจานตระเวนรอบตลาด ฯลฯ
นั่นทำให้สุดท้ายไทยก็ปฏิเสธไม่ได้
สิทธิสภาพนอกอาณาเขต
เมื่อไทยกับอังกฤษลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่ง ในมาตราที่ 2 ของสนธิสัญญาดังกล่าวเขียนว่า
“ถ้าคนอยู่ในบังคับอังกฤษจะเกิดวิวาทกันขึ้นกับคนอยู่ในบังคับไทย กงสุลกับเจ้าหน้างานฝ่ายไทยจะปฤกษาชำระตัดสิน คนอยู่ในบังคับอังกฤษทำผิด กงสุลจะทำโทษตามกฎหมายอังกฤษ คนอยู่ในบังคับไทยทำผิด ไทยจะทำโทษตามกฎหมายเมืองไทย ถ้าคนอยู่ในใต้บังคับไทยเป็นความกันเอง กงสุลไม่เอาเป็นธุระ คนอยู่ใต้บังคับอังกฤษเป็นความกันเอง ไทยไม่เอาเป็นธุระ”
หากคำว่า “คนในบังคับอังกฤษ” ไทยหมายถึงคนอังกฤษ ซึ่งเกิดในประเทศอังกฤษ แต่อังกฤษ (รวมถึงฝรั่งเศสในเวลาต่อมา) ยืนยันว่า หมายถึงชาวเอเชียที่มาจากดินแดนอาณานิคม และรัฐในอารักขาที่อยู่ในบังคับด้วย เช่น อินเดีย, พม่า, ฮ่องกง ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน ยังขยายสิทธิดังกล่าวไปยังลูกจ้างของตน และครอบครัวเครือญาติของลูกจ้างด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นคนไทยโดยกำเนิดหรือไม่ ทำให้มีคนไทยและคนจีนในเมืองไทยนิยมไปจดทะเบียนที่สถานกงสุล เป็น “คนในบังคับ”ต่างชาติมากขึ้น เพื่อจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับราชการทหาร, ไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายไทยเมื่อกระทำผิด ฯลฯ
ความพยายาม
ย้อนไป พ.ศ. 2397 หลังจากที่อังกฤษรบชนะพม่าเป็นครั้งที่ 2 ชาวอังกฤษและกิจการอังกฤษ เช่น บริษัทบริติชบอร์เนียว, บริษัทบอมเบย์เบอร์มา ฯลฯ เข้ามาดำเนินกิจการป่าไม้สักในภาคเหนือของไทย บริเวณเชียงใหม่, ลำปาง ฯลฯ ได้นำลูกจ้างชาวพม่า, กะเหรี่ยง และชาวพื้นเมืองอื่นๆ เข้ามาเป็นแรงงานมากขึ้น และถือว่าเป็นคนในบังคับอังกฤษ จนเกิดปัญหาโจรผู้ร้ายและปัญหากรณีพิพาทต่างๆ ระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับเจ้าหลวงเชียงใหม่
กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องหาทางกำจัดสิทธิดังกล่าวของชาวต่างชาติในประเทศ ขณะที่อังกฤษเองก็เกิดความห่วงใยในความปลอดภัยของคนในบังคับอังกฤษในภาคเหนือ
ประเด็นเหล่านี้นำไปสู่การลงนามร่วมกันของไทย-อังกฤษ ในสนธิสัญญาเชียงใหม่ (14 มกราคม 2417) โดยมาตราที่ 2 ของสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับนี้ระบุว่า “…ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดมีหนังสือเดินทางตามสัญญาข้อ 4 ฤาไม่มีหนังสือเดินทางเป็นโจร ผู้ร้ายในเขตรแดนอังกฤษ เขตรแดนสยาม ถ้าจับตัวผู้ร้ายได้ไม่ต้องถามว่าเป็นคนชาติของผู้ใด ต้องชำระตัดสินทำโทษตามกฎหมายบ้านเมืองนั้น…”
ถือเป็นครั้งแรกที่อังกฤษยอมให้คนในบังคับของตน ซึ่งเข้ามาอยู่ในเชียงใหม่, ลำพูน และลำปาง ขึ้นศาลไทยเมื่อกระทำความผิดฐานปล้นสะดม ไม่ว่าผู้กระทำความผิดฐานปล้นสะดมจะมีหนังสือเดินทางหรือไม่ก็ตาม
ต่อมารัฐบาลอังกฤษและไทยได้ลงนามใน “สัญญาว่าด้วยการจดบาญชีคนในบังคับอังกฤษในกรุงสยาม” ที่กรุงเทพฯ (27 พฤศจิกายน 2442) เพื่อจำกัดสิทธิของชาวเอเชียที่เป็นคนในบังคับของอังกฤษ ตั้งแต่ พ.ศ. 2442 เป็นต้นไป ว่า สำหรับคนในบังคับซึ่งเป็นชาวเอเชียนั้น ลูกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิลงทะเบียนเป็นคนในบังคับได้ รุ่นหลานต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย
68 ปีที่รอคอย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ (พ.ศ. 2461) ไทยที่อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร (คืออังกฤษ-ฝรั่งเศส-อเมริกา) ทำให้ดูเหมือนว่าชาติตะวันตกเริ่มมีท่าทีผ่อนปรนความได้เปรียบที่มีต่อไทยก่อนหน้านั้น นำสู่การเจรจาโดยเริ่มที่สหรัฐอเมริกาเป็นชาติแรก ประสบความสำเร็จจนเกิดการลงนามในสนธิสัญญาไทย-สหรัฐอเมริกา (16 ธันวาคม 2463) ทำให้สิทธิดังกล่าวของคนอเมริกันและคนในบังคับของอเมริกาสิ้นสุดลง กลายเป็นแนวทางให้ประเทศอื่นๆ
แต่การเจรจากับประเทศอื่นต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ สิ้นพระชนม์ (มิถุนายน 2466) พระโอรสของพระองค์คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศแทน ทรงร่วมกับ ดร. ฟรานซิส บี. แซร์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ หาทางแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาค
รัฐบาลไทยเริ่มเปิดการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญากับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมๆ กับที่เจรจากับสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศทั้งสองต่างพยายามประวิงเวลาไว้ เพราะเสียดายผลประโยชน์ที่จะต้องสูญเสียไป
พ.ศ. 2466 ไทยส่ง ดร. แซร์ เป็นผู้แทนไปเจรจากับรัฐบาลประเทศต่างๆ ในยุโรป ในที่สุดฝรั่งเศสก็เป็นประเทศแรกในยุโรปที่ยินยอมลงนามในสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2467 ส่วนอังกฤษ มีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2468
ทำให้ไทยพ้นจากข้อผูกมัดด้านการศาลและการศุลกากรจากสนธิสัญญาไม่เสมอภาค ที่ไทยทำไว้กับประเทศต่างๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2398 ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ดร. แซร์ เป็น “พระยากัลยาณไมตรี”
อันเป็นการยุติสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่เกิดจากสัญญาเบาริ่ง เมื่อ พ.ศ. 2398 อย่างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2466 หลังจาที่รอมานานถึง 68 ปี
คลิกอ่านเพิ่ม :
- วัฒนธรรมใน “ประเทศอังกฤษ” มิได้เป็นของ “อังกฤษ” แล้วผู้ดีอังกฤษเอามาจากไหน?
- “สนธิสัญญาเบาว์ริง” จุดเริ่มต้นการทำลายป่า “ไม้สัก” ในสยาม
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง
ไกรฤกษ์ นานา “ ‘สิทธิสภาพนอกอาณาเขต’ ตราบาปสนธิสัญญาเบาริ่ง สิ้นสุดลงเมื่อใด?” ใน, ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2566.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 สิงหาคม 2568.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ในไทยที่เกิดจากสนธิสัญญากับฝรั่ง ใช้เวลาถึง 68 ปี จึงสิ้นสุด
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com