ตระกูลชินวัตร - พรรคเพื่อไทย ผู้พ่ายแพ้ศึก ‘กัมพูชา’ ตัวจริง
แม้สถานการณ์แนว ชายแดนไทย-กัมพูชา จะคลี่คลายไปเปราะหนึ่ง ภายหลัง ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ เจรจากับ ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา จนได้ข้อสรุปหยุดยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค.2568
ทว่า ยังต้องจับตาการเคลื่อนเกมของ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะออกมาในรูปแบบใด เนื่องจากแผนการที่วางเอาไว้อาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย พื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ไม่สามารถเข้ายึดเพื่อตรึงกำลังเอาไว้ได้
ขณะเดียวกัน “ทหารกัมพูชา” ยังพ่ายแพ้ในหลายสมรภูมิ โดยเฉพาะพื้นที่ภูมะเขือ ที่ก่อนหน้านี้ สามารถขึ้นมาตั้งฐานทัพ สร้างกระเช้าทางขึ้น และมีหลายพื้นที่ ที่ละเมิดบันทึกข้อตกลงเอ็มโอยู 2543 ซึ่งทางการไทยอะลุ่มอล่วยมาตลอด กลับต้องถอยร่นออกไป
ในเชิงยุทธศาสตร์ของ “กองทัพไทย” อาจจะไม่เสียเปรียบ “ฮุน เซน - กัมพูชา” มากนัก แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ของ “รัฐบาลแพทองธาร” กลับพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
ตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวขึ้นช่วงปลายปี 2567 “รัฐบาลค่ายแดง” ตั้งรับ แบบไร้ยุทธศาสตร์ ตรงกันข้ามกับฝั่ง “ฮุน เซน” ออกแบบเกมรบมาเป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่ส่งคนกัมพูชาขึ้นไปร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม ต่อด้วยการเผาศาลาตรีมุข ขุดคูเลต ก่อนจะรุกฆาตด้วยการปล่อยคลิปสนทนากับ “นายกฯ แพทองธาร” จนสถานการณ์บานปลาย
“ทักษิณ - แพทองธาร” พ่ายเกมของ “ฮุน เซน” เพราะความไว้ใจ เนื่องจากตระกูลชิน - ตระกูลฮุน คบหากันมากว่า 30 ปี มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ให้ความช่วยเหลือเมื่อเผชิญภัยการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
ลูกสาวของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ “ทักษิณ” แต่งงานกับลูกชาย “เลียง นัม” นักการเมืองชื่อดัง คนใกล้ชิดของ “ฮุน เซน” นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่า “เครือข่ายทักษิณ” มีขุมข่ายธุรกิจใน “กัมพูชา”
ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ซึ่งเกี่ยวดองกันผ่านคนในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่คอยเกื้อหนุนกัน ส่งผลให้ “ทักษิณ-แพทองธาร” เชื่อใจ “ฮุน เซน” หมดใจ แบบไม่มีเงื่อนไข
ที่สำคัญ “ทักษิณ” ระแวงเครือข่ายทหาร - หัวขบวนอนุรักษ์มาก จนมองว่า อาจจะมี “มือมืด” สร้างเงื่อนไขล้ม “รัฐบาล” แต่ไม่ระแวง “ฮุน เซน” จนนำมาสู่การผูกปม จนยากจะแก้ด้วยตัวเอง
กลเกมการเมืองระหว่างประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทักษิณ - แพทองธาร” พ่ายยับให้กับ “ฮุน เซน”
ขณะเดียวกันเกมการเมืองในประเทศ “ทักษิณ - เพื่อไทย” ต้องเผชิญกับวิกฤติศรัทธา วิกฤติความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างหนัก
ยี่ห้อ “ชินวัตร” ที่เคยได้รับการต้อนรับจากฐานเสียง “ภาคอีสาน” มาวันนี้ กลับมีแรงต่อต้านค่อนข้างสูง
ทั้ง “ทักษิณ” ถูกตั้งคำถามถึงความสนิทชิดเชื้อกับ “ฮุน เซน” ส่วน “แพทองธาร” ถูกตั้งคำถามถึงภาวะ “ผู้นำ” ที่เสื่อมถอยลงอย่างมาก จนแทบไม่เหลือความไว้วางใจจากประชาชน
ก่อนหน้านี้จุดแข็งของ “พรรคเพื่อไทย” คือ การสื่อสารกับ “ประชาชน” ได้ดี เนื่องจากมี “ทีมหลังบ้าน” คอยประสานกับ “สื่อมวลชน” คอยเซตฉากให้ “นายตระกูลชินวัตร” ทุกย่างก้าว คาดคะเนกระแสสังคมค่อนข้างแม่นยำ จนสามารถวางจังหวะรุก จังหวะรับ มีส่วนปั้นให้ “นายกฯ ตระกูลชินวัตร” มีกระแสบวก
ทว่าศึกไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ “ทีมเพื่อไทย” ฟอร์มตก ไม่สามารถสื่อสารกับ “ประชาชน” ให้เข้าใจการทำงานของ “รัฐบาล” ได้เลย เกือบทุกปฏิบัติการของรัฐบาลถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และมักจะถูกมองว่าเดินเกมช้ากว่า “รัฐบาลกัมพูชา”
เมื่อการสื่อสารของ “รัฐบาล” มีปัญหา ในฐานะที่ “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำรัฐบาล ย่อมได้รับผลกระทบมากที่สุด ฐานเสียงที่เคยเข้มแข็งในภาคอีสาน ความนิยมทางการเมืองมีโอกาสลดน้อยลงอย่างมาก
ความพ่ายแพ้ของ “ทักษิณ - เพื่อไทย” ในกลศึก “ฮุน เซน - กัมพูชา” ย่อมส่งผลกระทบไปยังการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โอกาสที่จะพ่ายแพ้ในกระดานอำนาจมีสูงลิบ
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์