‘ตุลย์’ค้านผบ.ตร. ปูนบำเหน็จ2นพ. จี้ตั้งกก.ฟันวินัย
"หมอตุลย์" บุก ตร.ยื่นหนังสือ ผบ.ตร. ค้านเลื่อนตำแหน่ง 2 นายแพทย์ตำรวจ "โสภณรัชต์-ทวีศิลป์" เหตุมติแพทยสภาชี้ผิดจริยธรรม พักใช้ใบประกอบวิชาชีพ ปมช่วย "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ชั้น 14 ซ้ำถูก ป.ป.ช.สอบผิด ม.157 จี้ตั้ง กก.สอบข้อเท็จจริง หากพบผิดให้ย้ายออกจากตำแหน่งเดิม
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วันที่ 7 กรกฎาคม นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะอดีตแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คัดค้านการเลื่อนตำแหน่ง พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. เนื่องจากทั้ง 2 นายอยู่ระหว่างถูกสอบสวนในคดีสำคัญ และมีมติชัดเจนจากแพทยสภาว่ากระทำผิดจริยธรรมทางการแพทย์
นายแพทย์ตุลย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องขังในคดีอาญา มารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ถึง 18 ก.พ. 2567 โดยไม่มีการส่งตัวกลับเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง ขณะนั้น พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2568 คณะกรรมการแพทยสภามีมติชัดเจนว่า ทั้งสองนายแพทย์ตำรวจกระทำผิดตามข้อ 16 ของข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 กรณีให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์เกี่ยวกับอาการของนายทักษิณไม่ตรงกับความเป็นจริง และมีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ของ พล.ต.ท.โสภณรัชต์เป็นเวลา 3 เดือน และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2568 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน ยังมีผู้ร้องเรียนทั้งสองนายไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในข้อหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลอื่น และอยู่ระหว่างการสอบสวน
นายแพทย์ตุลย์กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นาย เป็นผลให้นายทักษิณไม่ต้องเข้ารับโทษในเรือนจำตามคำพิพากษา และได้รับการรักษาในรพ.ตำรวจ โดยอ้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับอาการป่วย ซึ่งเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 112 และหากมีการเลื่อนตำแหน่งในช่วงที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของ ตร.อย่างร้ายแรง
“การมายื่นหนังสือในวันนี้จึงเรียกร้องให้ ผบ.ตร. ดำเนินการ 3 ประการ คือตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และหากพบมูลความผิดให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อไป, สั่งย้ายข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นายออกจากตำแหน่งเดิม ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับ รพ.ตำรวจโดยเด็ดขาด เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรใน รพ.ตำรวจที่มีข้อมูลสามารถให้ข้อมูลแก่ ป.ป.ช.และศาลได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัว และให้ข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นายทำรายงานชี้แจง กรณีการถูกสอบสวนโดยแพทยสภาและ ป.ป.ช. รวมถึงกรณีการเป็นพยานในศาลฎีกา เพื่อส่งประกอบการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ” นายแพทย์ตุลย์กล่าว
นายแพทย์ตุลย์กล่าวอีกว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ควรเป็นไปอย่างโปร่งใสและยึดหลักคุณธรรม ไม่ควรปล่อยให้เกิดข้อครหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในขณะนี้คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และถือเป็นบุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีนี้ ยิ่งทำให้ประชาชนจับตามองการแต่งตั้งโยกย้ายของตำรวจครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีกล่าวอีกว่า ในความเป็นจริงรพ.ตำรวจยังมีข้อมูลสำคัญที่ถูกปิดบังอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการสืบสวนสอบสวนของศาลและคณะกรรมการ ป.ป.ช. เช่นกรณีระบบกล้องวงจรปิดบริเวณชั้น 14 ของโรงพยาบาล ที่ถูกระบุว่ามีปัญหาเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งที่กล้องในจุดอื่นๆ ของโรงพยาบาลยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีบุคลากรของ รพ.ตำรวจหลายรายที่มีข้อมูลสำคัญ และต้องการให้การกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลและอำนาจของ พล.ต.ท.โสภณรัชต์และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง
“หลังจากยื่นหนังสือที่ ตร.แล้ว จะเดินทางไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อให้ตรวจสอบและป้องกันไม่ให้มีการเลื่อนตำแหน่งบุคคลที่อยู่ระหว่างการสอบสวน และถูกชี้มูลว่ากระทำผิดจริยธรรมทั้งจากแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายแพทย์ตุลย์กล่าวทิ้งท้าย.