โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

สหรัฐบีบภาษีหนัก-สินค้าแดนมังกรทะลัก ไทยเสี่ยงขาดดุลจีน 1.8 ล้านล้าน

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สงครามการค้าที่มีจุดเริ่มจากสหรัฐอเมริกา-จีน ที่ลุกลามขยายวงเป็นสงครามการค้าโลก มีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้คุมเกม โดยสั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั่วโลก(Reciprocal Tariffs) ในอัตรา 10-50% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่ม

โดยที่ไทยถูกเก็บภาษีที่ 19 % ขณะที่จีนผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่สุดของโลกได้รับการยืดเวลาภาษีนำเข้าที่ 30% ออกไปอีก 90 วัน(สิ้นสุด 10 พ.ย. 2568) หลายฝ่ายแสดงความกังวลสินค้าจีนจะทะลักมายังอาเซียน ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยเพิ่ม และจะส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ในปีนี้มีแนวโน้มที่ไทยจะขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.7-1.8 ล้านล้านบาท คาดการณ์ดังกล่าวเป็นไปตามเทรนด์การค้าปกติที่จีนมีเป้าหมายการส่งออกมายังอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทยมากขึ้นอยู่แล้ว ยังไม่นับรวมผลกระทบจากภาษี 30% ที่สหรัฐเก็บจากจีนที่จะมีผลกระทบทำให้สินค้าจีนทะลักมาไทยอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปีถัดไป

จับตาขาดดุลพุ่ง 1.8 ล้านล้าน

“การขาดดุลการค้าจีนของไทยในปีนี้ ที่มีโอกาสจะสูงขึ้นถึง 1.7-1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งยังเป็นไปตามเทรนด์การนำเข้าปกติ และภาษี 30% ที่สหรัฐเก็บจากจีนยังมีผลไม่มากในปีนี้ที่จะทำให้สินค้าจีนเปลี่ยนทิศทางมายังไทยมากขึ้น อย่างไรก็ดีมองว่า หากสหรัฐคงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไว้ที่ 30% หรือสูงกว่านั้น ขึ้นกับผลการเจรจาในอนาคต คาดจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนการค้าในอีก 3 ปีข้างหน้า (2569-2571) โดยจะมีผลทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาทำตลาดภายในของไทยมากขึ้น”

สำหรับสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนส่วนใหญ่ในเวลานี้ มีทั้งสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป โดยสัดส่วน 70-80% เป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เหล็ก สินแร่โลหะ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น และอีกประมาณ 20% อยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช รวมถึงปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

ขณะที่สินค้าไทยส่งออกไปจีน เป็นสินค้าที่มีมูลค่าไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่ น้ำตาลทราย เป็นต้น

ทั้งนี้จากที่ในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไทยก็ขาดดุลการค้าจีนในระดับใกล้เคียงกัน (ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 45,337 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้ไทยไม่ได้การจ้างงานเพิ่ม และถือเป็นการค้าแบบภาพลวงตา เพราะไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ แต่ต้องมาขาดดุลจีนในมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน

“สินค้าจีนเวลานี้กระจายไปทั่วโลก โดยเขาพยายามลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐลง ตลาดหลัก ๆ ที่จีนขยายการส่งออกไปในขณะนี้ได้แก่ อาเซียน เอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยในปีที่ผ่านมาจีนส่งออกสินค้ามายังกลุ่มประเทศอาเซียน(รวมไทย) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17%

ผวาสวมสิทธิโดนภาษี 40%

รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า จากสินค้าจีนที่ส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น หลายฝ่ายเกรงสินค้าจีนจะเข้ามาสวมสิทธิ (Transshipment) สินค้าเมด อิน ไทยแลนด์เพื่อให้สามารถส่งออกไปตลาดสหรัฐได้เพิ่มขึ้น เรื่องนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ และไทยจะถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐในเรื่องนี้ ทำให้สินค้าสวมสิทธินี้จะถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 40% เช่นเดียวกับสินค้าที่สวมสิทธิเวียดนามส่งออกไปสหรัฐ ในเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด ก่อนออกหนังสือรับรองการส่งออก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น

พาณิชย์เฝ้าระวังสวมสิทธิ 49 รายการ

สอดคล้องกับข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ที่ระบุว่า เวลานี้มีสินค้าเฝ้าระวัง 49 รายการที่อาจเกิดการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าไทยจากสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นทางผ่านไปยังตลาดสหรัฐ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก ท่อเหล็ก แผ่นหินเทียม ยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคล สายไฟและสายเคเบิลอะลูมิเนียม กระปุกเกียร์ ลวดพันขดลวดที่มีฉนวน ตู้ไม้ ที่นอน หมอน เบาะรองนั่งและของใช้ตกแต่งลักษณะคล้ายกัน เป็นต้น ทั้งนี้ กำหนดให้ผู้ส่งออกจะต้องยื่นขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนขอรับหนังสือรับรอง (Form C/O ทั่วไป) ก่อนการส่งออก

สำหรับสินค้าจีนมีจุดแข็งที่ได้เปรียบสินค้าไทยและสินค้าจากทั่วโลก ได้แก่ ผลิตสินค้าคราวละมาก ๆ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ราคาโดยเฉลี่ยของสินค้าจีนต่ำกว่าสินค้าไทย 20-40% ขณะที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน หรืออัดฉีดผู้ประกอบการเต็มที่ ทั้งให้เงินอุดหนุนการส่งออก การทำวิจัยและพัฒนาสินค้า ( R&D) นอกจากนี้ยังมีการผลิตวัตถุดิบต้นทางเองจำนวนมาก และจีนยังเป็นผู้นำในหลายด้านของโลก เช่น เทคโนโลยี 5G, AI และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น

ส.อ.ท.ผวาลามกระทบ 30 อุตสาหกรรม

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น หลังสหรัฐยังคงเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในระดับสูง ปัจจุบันตัวเลขอัตราเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกค่อนข้างชัดเจนแล้วทั้งหมด ยกเว้นประเทศจีนที่ยังมีการขยายเวลาออกไปอีก 90 วัน(เก็บที่ 30%) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่เดือนพฤศจิกายน

ตามอัตราภาษีที่จีนถูกเรียกเก็บ ณ เวลานี้ จึงสูงกว่าประเทศในอาเซียน ทำให้จีนมีโอกาสส่งออกไปสหรัฐลดลง ส่งผลให้สินค้าจีนมีการเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกมาตั้งแต่ปี 2566 ตั้งแต่นโยบายทรัมป์ 1.0 ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสินค้าจากจีนก็ไหลทะลักเข้าสู่อาเซียนเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

จะเห็นว่า 6 เดือนแรกของปี 2568 ตัวเลขส่งออกของไทยพุ่งขึ้นกว่า 15% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงมากหากดูในรายประเทศจะพบว่ามีการส่งออกไปยังสหรัฐขยายตัวมากถึง 30% หลังจากที่มีการเร่งสั่งออร์เดอร์และเร่งส่งมอบสินค้าเพื่อให้ได้อัตราภาษีระดับเดิมก่อนที่จะมีเปลี่ยนแปลง ขณะที่การนำเข้าสินค้าของไทยจากจีนก็ขยายตัวในระดับ 30% ซึ่งถือว่าสูงพอกัน

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

“ส.อ.ท. พูดมาตลอด 3 ปีว่าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเอสเอ็มอี และยังไม่มีมาตรการที่ดีพอในการสกัดกั้นสินค้าที่นำเข้ามาทั้งที่ถูกกฎหมาย และไม่ถูกกฏหมาย หากยังปล่อยไปปีที่แล้ว 24 กลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ แต่ปีนี้จะเพิ่มเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรมจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นอย่างน้อย”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60% โดยถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ดี เพราะกำลังการผลิตที่ดีควรจะต้องอยู่ที่ประมาณ 75-80% ซึ่งมีปัจจัยมาจากผลกระทบทางด้านภาษีของสหรัฐฯ ตั้งแต่ทรัมป์ 1.0-2.0 และสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย

จี้ยักษ์แพลตฟอร์มตรวจเข้มมาตรฐานสินค้า

ด้าน นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอกลุ่มบริษัท EfraStructure ผู้คร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซ กล่าวว่าแนวโน้มสินค้าจีน หลังมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐมีผลบังคับใช้ น่าจะหลั่งไหลผ่านเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาภาครัฐเริ่มมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาควบคุมมากขึ้น ทั้งการจับกุมจากกรมศุลกากร และตำรวจสอบสวนกลาง หรือกระทรวงอุตสาหกรรมที่พัฒนาแอป “แจ้งอุต” แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาอุตสาหกรรมผ่านทางไลน์ โดยภาครัฐมีการบรูณาการทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ปริมาณสินค้าจีนที่เข้ามายังสูงอยู่ ซึ่งภาคเอกชน โดยเฉพาะอีมาร์เก็ตเพลส ทั้งช้อปปี้ ลาซาด้า รวมถึง TilkTok Shop จะต้องร่วมมือออกมาตรการตรวจสอบสินค้าไม่ได้มาตรฐาน หรือคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนด อย่างจริงจังมากขึ้น

นายภาวุธ กล่าวในฐานะคณะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ ว่า ได้มีการผลักดันการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้า ผลักดันกฎหมาย แพลตฟอร์มดิจิทัล ให้มีความรัดกุมมากขึ้นเพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ และผูกขาดของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือผลักดันการเชื่อมโยงระบบตรวจสอบมาตรฐาน และคุณภาพ กับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ที่ทำหน้าที่รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)

รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ให้ใบอนุญาตผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง ยา และเครื่องมือแพทย์

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

สำรวจเศรษฐกิจโลกสองขั้วปี 68 ใครโตพุ่ง ใครสะดุดพิษภาษีทรัมป์

39 นาทีที่แล้ว

"น่าน" จ่ายเงินเยียวยา 9,000 ผู้ประสบอุทกภัย “วิภา” วันนี้ 20 ส.ค.

49 นาทีที่แล้ว

เทียบฟอร์ม ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 2 หมื่นล้าน ‘M-150’ VS ‘คาราบาวแดง’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เช็คเงินเยียวยาไร่ละ 1,000 ปี 68/69 ครม.เห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกร

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสังคมอื่นๆ

หนีไม่รอด หนุ่มใส่ชุดไรเดอร์ควงปืนบุกปล้นร้านทองย่านบางบ่อ กวาดทองกว่าร้อยบาท ล่าสุดตำรวจตามจับกุมตัวได้พร้อมของกลาง

77kaoded

24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2568

สวพ.FM91

เช็คเงินเยียวยาไร่ละ 1,000 ปี 68/69 ครม.เห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกร

ฐานเศรษฐกิจ

“ไฮสปีด 3 สนามบิน” ผ่านฉลุย “อัยการฯ” แนะวางแบงก์การันตี-จ่ายค่าสิทธิ ARL เร็วขึ้น

ฐานเศรษฐกิจ

เปิดฉากประชุมใหญ่ AIBD GC 2025 ณ ภูเก็ต ตั้งเป้าจัดตั้ง 3 คณะทำงาน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สื่อแห่งอนาคต ที่มีบุคลากรสื่อไทยร่วมด้วย

สวพ.FM91

“ดร.เฉลิมชัย” ลงนามความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิต ระหว่าง ไทย - สิงคโปร์ ผลักดันการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ ภายใต้ความตกลงปารีส

สวพ.FM91

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...