“ไฮสปีด 3 สนามบิน” ผ่านฉลุย “อัยการฯ” แนะวางแบงก์การันตี-จ่ายค่าสิทธิ ARL เร็วขึ้น
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี) เป็นผู้รับสัมปทานระยะเวลา 50 ปี นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวมาที่ รฟท.แล้ว ทั้งนี้จากการตรวจร่างสัญญาฯของอัยการสูงสุดพบว่า พบว่าในรายละเอียดของร่างสัญญาส่วนใหญ่มากกว่า 95% ทางอัยการเห็นด้วยและไม่ได้มีการปรับแก้ไขร่างสัญญา
แต่อีก 5% นั้น โดยทางอัยการสูงสุดมีความเห็นเพิ่มเติมว่าหากรัฐแก้ไขจะทำให้รัฐได้ประโยชน์มากกว่า
ส่วนประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าอัยการสูงสุดมีความเห็นถึงการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL)
โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน ซึ่งต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญานั้น หากเอกชนจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไม่ครบถ้วนก็ไม่ควรจะได้สิทธิ์บริหารโครงการ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (Public Investment Cost: PIC) ทั้งโครงการเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถ แล้ว จำนวนไม่เกิน 149,650 ล้านบาท เป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวด
ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ ซึ่งวงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท ซึ่งทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท อาจขัดต่อหลักการกับสัญญานั้น
“ประเด็นดังกล่าวนั้นยืนยันว่าทางอัยการสูงสุดไม่ได้มีการแก้ไขร่างสัญญาแต่อย่างใด ซึ่งให้ดำเนินการยึดตามมติครม.ได้และไม่ได้ขัดต่อหลักการ เพียงแต่ทางทีมของอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าให้ภาครัฐไปเจรจากับเอกชนเพิ่มเติมจากเดิมที่แบ่งจ่าย 7 งวดเป็นแบ่งจ่ายให้เร็วขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการวางหลักประกัน (แบงก์การันตี) เร็วขึ้นกว่าเดิมในร่างสัญญาที่แก้ไขฯ” แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าว
แหล่งข่าวจากสกพอ. กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันทางอัยการสูงสุดให้ทางเอกชนกลับไปหารือกับสถาบันทางการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อดำเนินโครงการ เนื่องจากการแก้ไขสัญญาในครั้งนี้เพื่อให้เอกชนสามารถไปยื่นกู้ต่อสถาบันทางการเงินได้ ซึ่งภาษาทางการเงินจะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าในมุมภาษาทางกฎหมายที่อาจทำให้ข้อความในร่างสัญญาอาจมีความหมายที่เข้าใจผิดได้
“ยืนยันว่าในร่างแก้ไขสัญญาฯทางอัยการสูงสุดไม่ได้มีการแก้ไขรายละเอียดเพิ่มเติม เพราะท่านมองว่าสามารถเดินหน้าต่อได้ แต่มีเพียงความเห็นและข้อเสนอแนะประกอบเท่านั้น ซึ่งจะดำเนินการตามหรือไม่ขึ้นอยู่กับรฟท.พิจารณา หากรฟท.ไม่ต้องการแก้ไขตามข้อเสนอแนะก็สามารถทำได้ เพราะร่างสัญญานี้ถือว่าอัยการสูงสุดเป็นผู้ตรวจสอบแล้ว โดยตามปกติแล้วหากร่างสัญญาไม่ถูกต้อง เช่น รัฐเสียประโยชน์จะมีการขีดฆ่าข้อความและแก้ไขกลับมาในร่างสัญญาเลย” แหล่งข่าวของสกพอ. กล่าว
แหล่งข่าวจากสกพอ. กล่าวต่อว่า เมื่อเช้าของวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางสกพอ.และรฟท.ได้มีการนัดเอกชนเข้าร่วมหารือถึงความเห็นของอัยการสูงสุดในการแก้ไขสัญญาโครงการฯ เบื้องต้นทางเอกชนต้องกลับไปหารือกับคณะกรรมการของบริษัทฯ และสถาบันทางการเงินก่อน
“จากนั้นเอกชนต้องกลับไปจัดทำหนังสือถึงความเห็นของอัยการสูงสุดในการแก้ไขร่างสัญญาและส่งเป็นทางการว่าเอกชนเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าเอกชนจะต้องส่งกลับมาเมื่อไร หากล่าช้าจะกระทบต่อโครงการอื่นๆ แต่ได้เร่งรัดทางเอกชนให้ดำเนินการแล้ว คาดว่าจะส่งหนังสือตอบกลับมาภายในสัปดาห์นี้” แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าว
แหล่งข่าวจากสกพอ. กล่าวต่อว่า ตามแผนหลังจากอัยการสูงสุดตอบกลับแล้วจะต้องนำความเห็นของอัยการสูงสุดเพื่อส่งไปยังบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี)
หากเอกชนไม่ขัดข้องต่อความเห็นของอัยการสูงสุด จะดำเนินการจัดทำคำชี้แจงและเสนอไปยังคณะกรรมการ กพอ.หรือบอร์ดอีอีซีเห็นชอบภายในปลายเดือนก.ย.นี้และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบก่อนลงนามสัญญาต่อไป
อย่างไรก็ดีในกรณีที่เอกชนมีความเห็นไม่ตรงกับอัยการสูงสุดตอบกลับมาจะต้องรอนำความเห็นของเอกชนเสนอกลับไปยังให้อัยการสูงสุดตรวจอีกรอบก่อนดำเนินการตามกระบวนการต่อไป
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า ภายหลังอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาฉบับแก้ไขส่งกลับมายังการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว
ตามขั้นตอนจะต้องหารือร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ก่อนเสนอร่างสัญญาฉบับดังกล่าวต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ที่จะมีการประชุมในวันที่ 21 ส.ค.นี้
และคณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าร่างสัญญาดังกล่าวจะเสนอมายัง สกพอ. ได้ภายในสิ้นเดือน ก.ย.2568
ทั้งนี้ตามกระบวนการ สกพอ.จะรวบรวมเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่งมีนัดประชุมในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้
หากได้รับการอนุมัติสัญญาดังกล่าวทาง กพอ. จะเสนอสัญญาไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในช่วงเดือน ต.ค.2568 ซึ่งหากผ่านการอนุมัติก็จะเริ่มกระบวนการเตรียมลงนามสัญญาแก้ไข ซึ่งน่าจะดำเนินการได้ภายในปี 2568 ก่อนเอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการในปี 2569
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปัจจุบัน รฟท.อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีความเห็นเกี่ยวกับการสัญญาแก้ไข
อย่างไรก็ดีทางรฟท.ยอมรับว่าทางอัยการมีข้อเสนอในหลากหลายประเด็น ซึ่ง รฟท.อยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับ สกพอ. และภาคเอกชน ซึ่งยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมายและภาครัฐต้องไม่ประโยชน์
“ประเด็นของกระแสข่าวว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเกี่ยวกับสัญญาฉบับแก้ไข ที่มีการปรับแก้วิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการนี้ จากเดิมรัฐจะจ่ายเมื่อก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ปรับเป็นรูปแบบสร้างไปจ่ายไป อาจขัดต่อหลักการร่วมทุนที่ได้เสนอ ครม.ไปแล้วก่อนหน้านี้นั้น ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้ทีมงานศึกษารายละเอียดทั้งหมดอยู่” นายวีริศ กล่าว
เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,124 วันที่ 21 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568