โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘บรี-แสงเทียน’ นักขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน ผู้ส่องสว่างให้ห้องมืดเห็นว่าโลกภายนอกยังรออยู่

a day magazine

อัพเดต 21 สิงหาคม 2568 เวลา 19.14 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • a day magazine

“บ้านเมืองเราดูเหมือนจะมีแผนผังเป็นเขาวงกต ถูกออกแบบมาให้เดินเป็นวงกลม ทุกครั้งที่คิดว่ากำลังอยู่ในทางที่มีแสงสว่างรำไร ก็มักจะมีเงามืดตามมาทาบทามอีกครั้งเสมอ”

ผู้เขียนไม่อาจปฏิเสธ และไม่อยากปฏิเสธถึงคลื่นที่ยังคงส่งแรงกระเพื่อมต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ทั้งหวังเหลือเกินให้พูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก ในฐานะของคนๆ หนึ่งที่มีสิทธิ์มีเสียง และในฐานะของเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางม็อบเสื้อหลากสี ห้วงเวลาเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม ต้องใช้โต๊ะเหล็กบดบังหน้าต่าง อยู่กับความผวาว่ากระสุนจะทะลุเข้ามาเมื่อไหร่ ฟังดูช่างรุนแรง ฟังดูไม่เหมือนวัยเยาว์น่ารักที่จินตนาการไว้ หากแต่น่าเสียดาย ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

และหวังเหลือเกินว่าผู้อ่านจะเข้าใจถึงเนื้อความในหนึ่งบทนี้ จากเสียงของคนอีกคนหนึ่งที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมไม่ต่างกัน เวลานี้ เธอกำลังยืนอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่รณรงค์สาธารณะขององค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (Amnesty International Thailand)

บรี-แสงเทียน เผ่าเผือก’ หญิงผมสั้นใต้แว่นกลมใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึม เธอคอยผลักดันสิทธิมนุษยชนอยู่เนืองๆ ทั้งเป็นตัวตั้งตัวตีของแคมเปญฟรีราษฎร รวมถึงนิทรรศการ ‘Freedom Beyond Walls’ ที่ร่อนส่งจดหมายไปมาระหว่างเราสู่เพื่อนในเรือนจำว่ายังรออยู่ข้างนอกนะ เธอจะไม่พูดแค่มนุษย์หนึ่งคนนั้นทำอะไรได้บ้าง แต่จะพูดให้เราฟังว่ามนุษย์หนึ่งคนในหนึ่งประเทศควรมีสิทธิมีเสียงทำอะไรได้บ้าง และการเมืองนั้นเป็นเรื่องของทุกคน

จากประวัติศาสตร์ไม่กี่บรรทัด

จำได้ไหมว่าเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเมืองอย่างจริงจังตอนไหน

ตั้งแต่มัธยมที่เห็นพ่อไปชุมนุม เราได้แต่ตั้งคำถามว่าเหตุผลอะไรถึงต้องมีคนไปเยอะขนาดนั้น แล้วก็เป็นห่วงพ่อ เพราะมีข่าวสลายการชุมนุม ประกอบกับ ม.ปลาย ที่ได้เรียนวิชาสังคม เห็นว่าพาร์ตประวัติศาสตร์อื่นของไทยจะยาวมาก ยกเว้นเหตุการณ์ 14 ตุลา เราจำได้เลยมันมีแค่ 3 - 4 บรรทัดเอง ก็ได้แต่ตั้งคำถามอีกว่าทำไม ทั้งที่ดูเป็นการเคลื่อนไหวของประชาชน แต่พื้นที่กลับน้อยจัง ถึงได้เริ่มศึกษามากขึ้น ความสนใจก็เพิ่มขึ้นว่าถ้าอยากรู้มากกว่านี้ เราต้องเรียนอะไร

เรื่องนี้จะตลกนิดหนึ่ง คือตอนนั้นมีละครทีวีเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพที่ตัวละครเป็นทูต เขาเรียนรัฐศาสตร์ (หัวเราะ) เราก็อ๋อ! เข้าใจแล้ว ด้วยความสนใจการเมืองมากทำให้เลือกเรียนปริญญาตรี ในคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา องค์ความรู้ก็เพิ่มขึ้น หลังเรียนจบ เราลองเบนไปทำงาน HR ในภาคเอกชน แต่มันไม่ใช่ ใจเรายังอยู่ที่เดิม ทำให้เลือกเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ แต่เป็นสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

คุณพ่อเห็นด้วยหรือเปล่า

เราโชคดีที่ที่บ้านซัพพอร์ตมาก อยากเรียนอะไรก็เรียน เขามองว่าถ้าเราสนใจอะไร เราก็จะทำได้ดี ด้วยการเรียนการสอนของมหาลัยทำให้เกิดการดิสคัสกันหลายมุม แลกเปลี่ยนกับอาจารย์ และเราชอบมากเลย จนช่วงใกล้จบปริญญาโทก็สมัครเป็นเด็กฝึกงานที่องค์กร ‘Amnesty International Thailand’ เริ่มฝึกงานอยู่ภายใต้ Supervisor ที่ทำแคมเปญฟรีราษฎร

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เป็นองค์กรที่ผลักดันเรื่องอะไร

แอมเนสตี้เป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่พยายามทำให้คนรู้ว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง เขาจะใช้สิทธิของตัวเองอย่างไรได้บ้าง สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องประจำวัน ไม่ใช่เรื่องไกลตัว องค์กรเราสร้างความรู้ สร้างพื้นที่ให้คนได้ใช้สิทธิของตัวเอง หลังจากนั้นจะทำอย่างไรให้ผู้ที่รู้แล้วได้เป็นอีก Hub ให้คนอื่นรับรู้ไปด้วย เพื่อใช้สิทธิของตัวเองเพิ่มขึ้น เราทำงานอยู่ภายใต้กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม การทำงานทุกแคมเปญของเราจะส่งผลในการสร้างคนที่อยากทำงานเคลื่อนไหว ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนต่อ นั่นคือหัวใจของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในระยะยาว

มองว่าการชุมนุมประท้วงมีบทบาทอย่างไรต่อสังคมไทย

เท่าที่เข้าใจตอนนี้ ม็อบหรือการชุมนุมประท้วงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะแสดงความต้องการของคน อาจมองเห็นว่าสิ่งนี้พัฒนาอะไรได้อีกบ้าง หรือถูกละเมิดสิทธิอะไรไปบ้าง แต่ด้วยระบบเองอาจจะยังไม่ได้เอื้อให้เขาเปล่งเสียงออกมาได้ขนาดนั้น การชุมนุมประท้วงก็เป็นรูปแบบหนึ่งในการใช้สิทธิของเขา สิ่งที่จะต้องพัฒนากันต่อไป คือจะทำอย่างไรให้รัฐเห็นว่านี่ก็เป็นสิทธิมนุษยชน คุณต้องรองรับและฟัง จริงๆ มันเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับคุณในการฟังว่าตรงนี้ยังมีจุดบกพร่องตรงไหนที่คุณไม่เห็น เพราะประชาชนที่ใช้ชีวิตประจำวัน อยู่กันคนละภาคส่วน เขาเห็นปัญหา

เห็นความเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวทางการเมืองในสังคมไทยบ้างไหม

ในช่วงที่มีม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง เราเรียนอยู่ ม.ปลาย หลังจากเรียนจบก็มีม็อบมากขึ้นกว่าเดิมนะ ในปี 63 คนออกมาพูดถึงการเมืองเยอะมาก จริงๆ มันเห็นพัฒนาการบางอย่าง เพราะอย่างตอนที่รุ่นพ่อรุ่นแม่เราไปชุมนุมกัน คนจะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องของคนที่ไม่พอใจรัฐบาล แต่ในระยะหลัง เราเห็นได้ชัด

การเมืองไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่อีกแล้ว เด็กๆ นิสิต นักศึกษาก็มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของเขาด้วย จากการที่เห็นเขาออกมาประท้วง มีการชุมนุมของนักเรียนที่พูดเรื่องทรงผม การแต่งกาย หรือสิ่งที่มีมาโดยตลอด คือขบวนไพรด์ เป็นการประท้วงเรื่องเพศในแบบหนึ่ง คำว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนจึงเห็นได้ชัดขึ้น คนเข้าใจมากขึ้นว่าการชุมนุมประท้วงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแสดงความคิดเห็น ใช้สิทธิ ขยายสิทธิของเขา

คิดว่าคนจำนวนน้อยจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงใช่ไหม

เราว่ามันคือจุดเริ่มต้นของอะไรที่มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่เกิดคำว่าแค่นี้ก็จะไม่มีคำว่าใหญ่ขึ้นเลย การที่เริ่มจากคนสองคนเห็นปัญหาจนเขาพูดอะไรออกมาให้คนอื่นได้ยิน ก็จะกลายเป็นสามคนสี่คนห้าคน มีคนเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ถึงจังหวะหนึ่งด้วยปัจจัยอื่นที่นอกจากตัวพวกเขาเอง มันทำให้เขาถูกได้ยินมากขึ้น

อย่างแคมเปญฟรีราษฎรที่มีโพรเจกต์จดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ คนที่เขียนจดหมายอาจรู้สึกว่าเขาเขียนคนเดียว อาจต้องเอาไปเขียนในห้องคนเดียว หรือเขียนกรอกในเว็บไซต์คนเดียว แต่พอจดหมายเหล่านั้นมารวมกัน แล้วถูกส่งให้คนที่ต้องการความหวังมากๆ จากคนเดียวจะรวมกันกลายเป็นความหวังก้อนหนึ่งที่แม่งโคตรสำคัญกับคนในเรือนจำเลย คนที่พวกเขามองว่าตัวเองไม่ควรไปอยู่ในนั้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ก็คือผู้ต้องขังทางการเมือง

สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนตอนนี้อยู่ในสถานะไหน

ตอนนี้สิทธิของคนในฐานะประชาชนภายในรัฐยังไม่ถูกเคารพขนาดนั้น คำว่าเคารพในที่นี้หมายถึงคุณต้องดูว่าใครถูกละเมิดสิทธิของการเมือง มันมีคนตั้ง 50 คนที่อยู่ในเรือนจำตอนนี้ และอีก 1,977 คนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง แสดงให้เห็นว่ารัฐเองก็ยังไม่ได้รองรับ ไม่ได้ทำให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมประท้วงลงหลักปักฐานได้ขนาดนั้น

ถ้าคุณเชื่อว่าประเทศนี้ สังคมนี้จะการเมืองดี มันต้องไม่มีใครโดนคดีแบบนี้ หรือหากโดนแล้วต้องมีการเยียวยาหรือทำให้เขาเดินหน้าต่อไปได้ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการประกันในอนาคตว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม การประท้วง ถ้าเขาใช้แล้วต้องไม่นำมาซึ่งคดีทางอาญา หรือการถูกดำเนินคดีอีก ถ้าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนมันได้รับการรองรับและการคุ้มครอง ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันพูด ฉันวิจารณ์ คิดว่านี่คือสิ่งที่พัฒนากันได้ พูดออกมาแล้วไม่ถูกดำเนินคดี เราว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทางการเมืองที่สำคัญในอนาคตเลย

หน้าที่ของรัฐที่ควรมีต่อสิทธิมนุษยชนคืออะไร

อืม สำหรับเราแล้ว รัฐมีหน้าที่ในการสร้างเงื่อนไข สร้างสภาพแวดล้อมให้คนใช้สิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดพอเราใช้สิทธิมนุษยชนได้ ทุกคนเข้าใจว่าใช้สิทธิมนุษยชนของตัวเองได้ เราจะอดทนต่อความต่างของกันและกัน เราว่านี่คือหัวใจของการพัฒนาการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบอบไหนก็ตาม

เสรีภาพแห่งคำพูด

ความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังทางการเมืองเป็นอย่างไรบ้าง

สิ่งที่พวกเขาต้องการมากๆ คือการรู้ว่าพวกเขายังมีตัวตนอยู่ข้างนอก ความหวังว่าตัวตนภายนอกของเขายังไม่ถูกลืม เพราะนั่นคือตัวตนที่ควรจะได้โลดแล่น การรับรู้ว่าคนข้างนอกไม่ได้ลืมพวกเขา อยากรู้ว่าข้างนอกเคลื่อนไหวกันอย่างไรบ้าง สถานการณ์นิรโทษกรรมประชาชนเป็นอย่างไร Amnesty ทำอะไรอยู่ องค์กรภาคประชาสังคมอื่นทำอะไรอยู่ ในทางกลับกัน เราจะคอยอัปเดตให้เขาฟังด้วยว่าเราทำอะไรอยู่ และองค์กรอื่นทำอะไร ผ่านแอป DomiMail ที่ใช้คุยกับคนข้างใน

แคมเปญฟรีราษฎรเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่

ช่วงปี 63 ที่มีการชุมนุมประท้วงของนักเรียน นักศึกษา คนทั่วไปที่เยอะ หลังจากนั้นก็มีคนถูกดำเนินคดีมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน แคมเปญนี้เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลที่ว่าทำอย่างไรให้คนที่เขาถูกดำเนินคดีรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ณ ตอนนั้น ข้อเรียกร้องของแคมเปญนี้คือต้องปล่อยตัวทันทีไม่มีเงื่อนไข ตอนนี้ก็ยังดำเนินไปด้วยข้อเรียกร้องนี้อยู่ แคมเปญฟรีราษฎรมีอีกชื่อว่า ‘ปล่อยเพื่อนเรา’

เราทำผ่านโพรเจกต์จดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ และอีกช่องทางหนึ่งคือการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ร่วมกับเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิที่ยังอยู่ในเรือนจำ และโดนดำเนินคดีทางการเมืองได้กลับมาใช้ชีวิต และสิทธิเสรีภาพของเขาได้อย่างเต็มที่ เป็นการรับประกันว่าในอนาคตจะไม่มีใครถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิทางการเมืองของตัวเองอีก

เราจะเข้าร่วมแคมเปญฟรีราษฎรได้อย่างไร

จริงๆ แคมเปญนี้มันถูกทำขึ้นมาเพื่อทุกคนเลย ช่วงปี 68 เป็นต้นมา เราก็พยายามคิดว่าทำอย่างไรให้มันกลายเป็นพื้นที่ที่คนใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างปลอดภัย การเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำก็ทำได้ 2 ช่องทาง หนึ่งคือเข้าร่วมในพื้นที่ที่ Amnesty ไปจัดอีเวนต์อย่าง ‘Freedom Beyond Walls’ ที่ผ่านมา สองคือในเว็บไซต์ https://freeratsadon.amnesty.or.th/

โจทย์ในช่วงต้นปี 68 จนถึงปัจจุบันคือทำอย่างไรให้ฟรีราษฎรเข้าไปอยู่ในพื้นที่ประจำวันของคนมากขึ้นเช่น เวิร์กชอปจัดดอกไม้ที่เราเล่าเรื่องราวผู้ต้องขังทางการเมืองไปด้วย เวิร์กชอปทำกำไลเชือกเทียนที่บอกเล่าความฝันของผู้ต้องขังแต่ละคน บางคนอยากเป็นหมอ เป็นแรปเปอร์ก็จะมีสัญลักษณ์ไว้ เราจะได้พูดคุยกับคนที่ไม่เคยเข้าร่วมแคมเปญของเราด้วย แต่ครั้งนี้เขาอาจสนใจในวิธีและได้มีโอกาสฟังเรื่องราว รู้มากขึ้นว่าจะสามารถส่งต่อความหวังของเขา พลังของเขาให้เพื่อนในเรือนจำได้อย่างไร

เสียงตอบรับของคนที่มาเข้าร่วมเป็นอย่างไร

ที่จำได้คือในนิทรรศการ ‘Freedom Beyond Walls’ ด้วยความที่เราไปจัดในหอศิลป์ คนส่วนใหญ่ที่มาเขาจะมาดูงานศิลปะ แต่พอเห็นนิทรรศการนี้แล้ว ก็จะบอกกันว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสถานการณ์มันร้ายแรงแบบนี้ ในนิทรรศการจะมีจดหมายที่เพื่อนในเรือนจำส่งมาให้แอมเนสตี้ด้วย บางคนอ่านแล้วร้องไห้ด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำให้คนที่สนใจอยู่บ้าง หรืออาจจะไม่ได้สนใจเลยรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราพยายามสื่ออยู่ กับสิ่งที่เพื่อนในเรือนจำต้องเจอ ทำให้เขารู้ว่าจะทำอย่างไรได้บ้างในการส่งต่อความหวังและกำลังใจให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ

แง่หนึ่งของการเขียนจดหมายคือการให้ความหวัง แต่อีกแง่หนึ่ง เมื่อจดหมายเข้าไปในเรือนจำแล้ว ผู้มีอำนาจจะได้เห็นว่าคนข้างนอกไม่ได้ลืมผู้ต้องขังทางการเมืองเลย ไม่ว่าคุณมีแผนจะขังเขานานแค่ไหน แต่เราจะส่งจดหมายไปให้พวกเขาเรื่อยๆ ประชาชนไม่ได้ลืม และยังมองคุณอยู่ว่าปฏิบัติกับผู้ต้องขังทางการเมืองอย่างไร

สิทธิ์ของคน

สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังเกิดซ้ำอยู่ทำให้เราเคยหมดหวังบ้างไหม

ไม่ค่ะ เราต้องคอยบอกตัวเองและเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอว่าการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเป็นงานระยะยาว แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีพัฒนาการเลย นี่ไง! อย่างเราไปทำนิทรรศการในเชิงสาธารณะ แล้วได้คุยกับผู้คน ทำให้ได้รู้ว่ามันยังมีวิธีอยู่นะที่จะทำให้คนที่ไม่เคยรับรู้เรื่องเหล่านี้เลยได้รับรู้ และรู้สึกว่าทำอะไรบางอย่างได้ ไม่ใช่จุดที่ประสบความสำเร็จแบบจุดพลุใหญ่โตหรอก แต่ก็เป็นจุดสำเร็จเล็กๆ ที่เราว่าสำคัญ

พอมีจุดสำเร็จเล็กๆ ไปเรื่อยๆ การมีคนเขียนจดหมายผ่านแอมเนสตี้ แสดงว่าสิ่งที่เราพยายามสื่อมันไปถึง เป็นการต่อความหวัง ไม่ใช่แค่สร้างความหวังให้สาธารณะ หรือผู้ต้องขังทางการเมืองอย่างเดียว แต่การที่มีคนมาร่วมแคมเปญกับเรา ก็คือการต่อความหวังให้คนทำงานเหมือนกัน ทำให้เห็นว่ายังมีช่องทางมากมายที่จะทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายตรงนั้น ให้สิทธิมนุษยชนลงหลักปักฐานให้ได้มากที่สุดในประเทศไทย ทำอย่างไรให้คนในประเทศใช้สิทธิมนุษยชนได้อย่างไม่ต้องกลัวอะไร เป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของ Amnesty ระหว่างทางเหล่านี้ คือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดจุดสำเร็จเล็กๆ เราหวังว่าจุดสำเร็จนี้จะไม่เกิดแค่กับเรา แต่เมื่อคนๆ หนึ่งรับรู้แล้วเทกแอกชันพลังของตัวเองกระจายต่อสู่คนรอบตัว มันจะสร้างความสำเร็จในระยะยาว

เพื่อนในเรือนจำที่ได้รับจดหมายไป เขาตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้าง

อย่างพี่อานนท์ที่เขารู้ว่ามีคนเขียนจดหมายถึง เขาตอบกลับมาว่าแค่ได้รับรู้ว่ามีคนเขียนถึงเขาก็ทำให้มีกำลังใจแล้ว ทำให้บางวันที่หม่นมันสว่างขึ้น หรือถิรนัยที่ตอนนี้พ้นโทษแล้ว เขาเคยสะท้อนว่าเมื่อมีการประกาศให้ไปรับจดหมาย เขารู้สึกว่าเป็นเสียงที่ทำให้วันนั้นพิเศษกว่าวันอื่น ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว การทำอะไรในพื้นที่ที่จำกัดซ้ำๆ เดิมๆ ไม่ได้รับรู้ข่าวสารภายนอกเลย และยังมีโอกาสได้รู้ว่าคนภายนอกส่งพลังมาให้เขา ยังรู้ว่าคนไม่ลืมเขา มันสำคัญมากเลย

แต่ตอนนี้เรากำลังเผชิญปัญหา แอป DomiMail ที่เคยใช้ติดต่อกับคนภายในถูกเปลี่ยนระบบใหม่ ให้แค่คนที่มีลิสต์รายชื่อเป็นญาติ คนใกล้ชิด ผู้เยี่ยมเท่านั้นที่ใช้ได้ ในแง่หนึ่งก็เป็นการจำกัดสิทธิ์ที่จะติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกของผู้ต้องขังทางการเมืองด้วย เรากำลังพยายามหาช่องทางเพื่อให้ลดข้อจำกัดนี้ลงอยู่

หลังจบนิทรรศการ Freedom Beyond Walls มีแผนถึงนิทรรศการหรือโพรเจกต์ในอนาคตบ้างไหม

ถ้าเป็นแคมเปญฟรีราษฎรจะยังโฟกัสอยู่กับโพรเจกต์การเขียนจดหมาย เพราะเป็นโพรเจกต์ที่อยู่ในระยะยาว เรากำลังมองหาโอกาสในการไปในพื้นที่ย่อยๆ เล็กๆ อื่นมากขึ้น มีคนมาสะท้อนในงานนี้เหมือนกันว่าถ้าไปในพื้นที่อื่นด้วยก็จะดี เพราะนิทรรศการสร้างความรับรู้ให้คนได้ดี

แสงเทียน

การที่ออกมาผลักดันหรือทำงานด้านนี้ทำให้เรากลัวบ้างหรือเปล่า

ไม่กลัวนะ เราทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ยืนอยู่บนหลักการ เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราพูดมันคือหลักการสากล ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ทั้งโลกรับรู้ว่ามันคือสิทธิมนุษยชน เรารู้ว่าเรายืนอยู่บนหลักการอะไร

การทำงานใน Amnesty ให้อะไรกับเรา

จริงๆ ก็เยอะมาก มันมีความยากสำหรับเรานะ เพราะเราเป็นสายองค์ความรู้การเมืองตรงๆ มากๆ อย่างในการเรียนรัฐศาสตร์มาจะเน้นมองถึงหน่วยใหญ่เป็นหลัก แต่พอมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว ต้องมองภาพไปที่คนมากขึ้น คนโดนอะไร คนจะทำอะไรได้บ้าง เราได้ฝึกมองไปที่ผู้ทรงสิทธิ คือเหล่าคนที่เราเห็นว่าเขาถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือคนที่เราคิดว่าสามารถช่วยรณรงค์ให้เรื่องราวของเขาเป็นที่รับรู้ได้ และทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามันมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบนี้ เราได้ทำงานเพื่อคนมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งด้วย มันคือการขยายผลต่อภาพรวม มันทำให้สิทธิมนุษยชนถูกลงหลักปักฐาน เพราะสุดท้ายแล้วถ้ายังมีคนถูกปล่อยทิ้งอยู่ข้างหลัง ก็แสดงว่ายังมีการละเมิดอยู่

ถ้ามีเพื่อนในเรือนจำที่สามารถอ่านบทความนี้ได้ อยากบอกอะไรเขา

ถ้าได้อ่านก็แปลว่าคงได้ออกมาแล้วเนอะ (หัวเราะ) เราหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาพยายามเรียกร้อง สิ่งที่เขาพยายามขับเคลื่อนเพื่อให้ประเทศนี้ สังคมนี้ได้อยู่บนเงื่อนไขที่สิทธิมนุษยชนไม่ถูกละเมิด ณ ตอนที่เขาออกมาแล้ว หมายความว่ามันเป็นจริงแล้ว

เราหวังว่าเขาจะยังมีพลังในการดำเนินชีวิตที่เขาต้องการอยู่ ทุกคนต่างมีความฝัน บางคนอยากเป็นหมอ เป็นนักร้อง หรือแค่ได้อยู่กับลูก ขอให้ได้ใช้ชีวิตในการทำความต้องการเหล่านั้นอย่างถึงที่สุด และในขณะเดียวกัน ถ้าใครที่มีพลังในการขับเคลื่อนต่อ เราหวังว่าเขาจะได้ขับเคลื่อนตามความตั้งใจของเขา โดยที่ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

การได้ยืนอยู่ตรงนี้ ทำงานด้านนี้เป็นความฝันของเราด้วยไหม

เราไม่ได้มีความฝันหรอก แต่พอได้มาทำตรงนี้แล้ว ความฝันใหญ่ของเราคือการที่จะไม่มีใครต้องเข้าคุกเพราะคำพูดอีก

เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากแสงเทียน ทั้งความกล้าหาญในแววตาที่ส่งออกมา เธอทำให้เรากล้าหาญขึ้น และอยากเป็นหนึ่งคนที่ใช้เสียงของตัวเองผ่านแป้นพิมพ์ ผ่านตัวอักษรทั้งหลาย แค่เพียงขอแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่พื้นเพเป็นคนของประเทศนี้ก็เท่านั้น และยังหวังไปกับเธอให้สิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่เห็นผล แม้ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีรุ่งอรุณรออยู่จริงหรือเปล่า เท้าก็ยังต้องเดินต่อไป

เราเชื่อว่าในวันที่ความฝันของแสงเทียนเป็นจริง ฝันของคนที่รออยู่ก็จะเป็นจริงเช่นกัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก a day magazine

เปิดแฟ้มคดีลับสิ่งมีชีวิตนอกโลก วันหนึ่งเราอาจสนิทกันจนเป็นสหายพิสดาร

22 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ชวนมารู้จักเดอร์มา – ไซเอนซ์จากเกาหลี ในงาน Exclusive Sneak Peek โดย YOUTHLABO

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

กิน "เมล็ดฟักทอง วันละ 5 เมล็ด" เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่คาดคิด

sanook.com

ไวรัล มีคนแชร์ภาพ โลมา สปีชีส์ที่พบเจอได้ยาก เพราะน้องว่ายน้ำเร็ว อาศัยอยู่ในน้ำลึก นาน ๆ โชว์ตัวที

CatDumb

ชับขานเรื่องคนพลัดถิ่น ยืนหยัดต่อต้านสงคราม และพลิกวงการดนตรี เรื่องราวไม่ธรรมดาของวงดนตรีนามว่า ‘Massive Attack’

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ไอคอนสยามจัด TICC2025 งานกาแฟ ICONIC รวมแชมป์โลก–ไทย

TNN ช่อง16

MIND: การ ‘ดูแลตัวเอง’ เป็นสิ่งที่ดี แต่การทำอย่างนี้เพื่อ ‘หนีโลก’ ก็ปกติมากเช่นกัน

BrandThink

“เปลือกมังคุด” สู่ยาสมุนไพรและเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ

sanook.com

วิน-มิค สร้างประสบการณ์ใหม่ นำขนมหวานคอแลบของเล่น

Manager Online

เปิดหน้า 'วอล์กเกอร์' ก้าวระทึกสู่ 'เกมเดินมรณะ' กับเซตโปสเตอร์คาแร็กเตอร์ 'The Long Walk' เดินท้าตาย 11 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Tero Radio

ข่าวและบทความยอดนิยม

เปิดแฟ้มคดีลับสิ่งมีชีวิตนอกโลก วันหนึ่งเราอาจสนิทกันจนเป็นสหายพิสดาร

a day magazine

ชวนมารู้จักเดอร์มา – ไซเอนซ์จากเกาหลี ในงาน Exclusive Sneak Peek โดย YOUTHLABO

a day magazine

‘ยิ่งเสพติดคอนเทนต์ ยิ่งอยากซื้อของ’ ชวนดูเหตุผลที่ทำให้เรามีลิสต์ของที่อยากได้เก็บไว้ในตะกร้าเพิ่มขึ้นไม่รู้จบ

a day magazine
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...