‘MOU43-44’ยกเลิกได้หรือไม่ ข้อตกลงที่ใครเสียประโยชน์กว่า
ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง‘ไทย-กัมพูชา’ ที่มีท่าทีดูจะยังไม่สงบลงจริงได้ง่ายๆ เนื่องจากรายงานล่าสุด ยังคงตรวจพบความเคลื่อนไหวของโดรน และการเพิ่มเติมกำลังของฝั่งกัมพูชา รวมถึงพบการลักลอบการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่เขตไทย ซึ่งแสดงถึงเจตนาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุด คือกรณีมีข้อเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 หรือ "บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก" และ MOU 44 หรือ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน”
จากการตั้งคำถามว่า สนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ทำให้ ‘ฝ่ายไทยเสียเปรียบกัมพูชา’ ใช่หรือไม่?
สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมายังลานประชาชน อาคารรัฐสภา เพื่อปักหลักแสดงพลังเรียกร้องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณายกเลิก MOU ดังกล่าว โดยมีพรรคร่วมฝ่ายค้านมากมายแห่กันลงมารับหนังสือ แต่ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล ปรากฏเพียงแค่พรรคชาติไทยพรรคเดียว
วันเดียวกันนั้นเอง ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี นายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เป็นคนจากพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในผู้ที่ลงมารับหนังสือจากกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยตัวเอง กลับได้ชิงปิดการประชุมไปเสียก่อนที่จะมีการเลื่อนวาระญัตติเรื่องข้างต้น ที่ นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอไว้ ขึ้นมาพิจารณา ทำให้ทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ต้องรีบจับมือกันลงมาร่วมแถลงทันควัน เพราะเห็นว่า น้อยที่สุดควรเกิดการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาแนวทาง
แม้ในภายหลังจะมีหลายเสียงจากพรรคเพื่อไทย ออกมาแก้ต่างในเรื่องนี้แล้วก็ตามที หรือกรณีที่นายไชยาได้ออกมาขอโทษด้วยตัวเอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เกิดจากการประสานงานที่ผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้ทำให้สิ้นข้อครหา ที่หลายฝ่ายสงสัยว่า‘พรรคเพื่อไทย’ จงใจทำให้เรื่องนี้ไม่ถูกหยิบขึ้นมาหารือกันหรือไม่
เพราะในข้อตกลง MOU 44 กำหนดให้การเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเล และการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ที่ต้องดำเนินการไปพร้อมกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะหากจะเจรจาแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วมีข้อติดขัด ก็จะทำให้การเจรจาทั้งหมดชะงักไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีการมองว่า การที่รัฐบาลไทยลงนามใน MOU 44 เสมือนเป็นการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนกว่า 26,000 ตร.ม.ไปโดยปริยาย ซึ่งอาจเป็นการลดทอนอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยในบางพื้นที่ เช่น บริเวณโดยรอบ เกาะกูด จนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสียดินแดนในอนาคต
สมัยรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 44 เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาในขณะนั้น ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่อาจอาศัยสัมพันธ์ส่วนตัวอันดี ระหว่าง 'นายทักษิณ' และ 'สมเด็จฮุน เซน' ด้วยความตั้งใจฉีกหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จนถูกมองว่าอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา และกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติได้
ขณะที่มุมมองด้านความมั่นคงของกองทัพ ก็ดูมีทั้งส่วนที่เห็นควรว่า แก้ไขได้ กับสนับสนุนให้ยกเลิก แต่การกำลังเผชิญปัญหาความขัดแย้งนั้น จึงไม่ได้มองว่า MOU 43 และ 44 เป็นปัญหารุนแรง เนื่องจากปัจจัยสำคัญเวลานี้อยู่ที่การนำหลักฐาน แผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ยึดเป็นหลักในการปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตย แทนที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
ที่สำคัญคือ หากมีการตีประเด็นกว้างขวางออกไปว่าฝ่ายไทยเตรียมจะยกเลิก MOU 43 และ 44 อาจเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำเรื่องยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งเป็นช่องทางที่ทั้งรัฐบาลและกองทัพไทยไม่พึงปรารถนา
ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศเอง ก็ได้ให้ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย อธิบายกรณีนี้ว่า MOU 43 เป็นการกำหนดกรอบการตกลง ไม่ได้กำหนดเรื่องเขตแดนลงไปในความตกลงฉบับนี้ แต่วางกรอบ และวางกลไกในการปักปันเขตแดน
พร้อมย้ำว่า กรอบการดำเนินงานทั้งหมด ไม่มีตรงไหนบอกให้ไปหาบุคคลที่ 3 ตนเองไม่อยากบอกว่า เป็นการทำผิดสัญญา แต่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ที่ทางกัมพูชาจะหลีกเลี่ยง และนำเรื่องนี้ไปหาประเทศที่ 3 ในการแก้ไขปัญหา ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่า เรื่องเขตแดนเป็นเรื่องของทั้ง 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากเรายกเลิก MOU 43 ไป ก็แค่เริ่มใหม่เท่านั้นเอง และอาจจะกลายเป็น MOU 68 ก็ได้ แต่เนื้อหาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะหนีจาก MOU 43 ได้อย่างไร เพราะเราไม่สามารถหนีข้อเท็จจริง หรือความเป็นจริงได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องกลับไปอ้างอิงอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเหมือนเดิม
กลับมาที่ สว.สีน้ำเงิน ก็ได้รีบเร่งรับลูกจากพรรคภูมิใจไทยก่อน โดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. และคณะ จะมีการชงญัตติ ให้วุฒิสภาพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดี-ข้อเสีย การยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนไทยอย่างยั่งยืน
สำหรับสาระสำคัญของญัตติตอนหนึ่งระบุว่า“หากรัฐบาลมีความจริงใจไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนจริง และเพื่อให้การสูญเสียเลือดเนื้อ และชีวิตของทหารของไทย ในการยืนหยัดพิทักษ์อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนตามแนวปฏิบัติการ 1 ต่อ 5 หมื่น เป็นไปอย่างมีคุณค่าสูงสุด รัฐบาลต้องพิจารณายกเลิก MOU 2543 ที่กัมพูชาเคารพ เพียงข้อ 1 ที่ให้สำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเท่านั้น"
สาระของญัตติดังกล่าวยังระบุอีกว่า “ไม่ว่าผลการแบ่งเขตแดนเป็นอย่างไร ไทยต้องเสียทั้งเขตแดนและผลประโยชน์ ซึ่งสารัตถะใน MOU 2544 เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทย ในพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนของข้อตกลง คือส่วนบนละติจูด 11 องศาเหนือ และส่วนล่างเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เท่ากับกัมพูชาได้รับผลประโยชน์ในส่วนที่ไม่ควรได้รับ หรือทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนที่ควรได้รับ ดังนั้นรัฐบาลควรยกเลิก MOU 2544 เช่นเดียวกัน แต่การยกเลิกนั้น เป็นความซับซ้อนและละเอียดอ่อน จึงสมควรที่วุฒิสภาจะตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาข้อดี-ข้อเสียการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ”
ทำให้เห็นได้ว่า ฝ่ายที่ต้องการยกเลิก ได้มีการดำเนินงานไปในบางส่วนแล้ว แต่ทว่าเมื่อทุกสัปดาห์ที่เวียนมาถึงวันพุธ ซึ่งมีการเปิดประชุมสภาอีกครั้ง
พรรคเพื่อไทยก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยง ไม่ให้พรรคภูมิใจไทยเสนอญัตตินี้เข้ามาอีก หรือหากจะมีการเสนอญัตติซ้อนให้เลื่อนระเบียบวาระดังกล่าว ก็จำเป็นต้องแข่งกันวัดเสียงในสภาฯ ซึ่งเป็นเกมเสี่ยงสำหรับพรรคร่วมรัฐบาลที่ขาดเอกภาพอยู่ดี
ดังนั้นทางที่จะรักษาพรรคเพื่อไทยได้มากที่สุดในตอนนี้ คือต้องพยายามหาเหตุผลดีๆ มาอธิบายให้ทุกฝ่ายได้รับฟัง ไม่ใช่ดันทุรังยื้อ หรือเดินไปในทางอื่นแทน!.