รมว.คลัง เผย 4 ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ เน้นนำเข้าเครื่องบิน 90 ลำ เปิดตลาดหมูให้ไม่ถึง 1 %
รมว.คลัง เผย 4 ข้อตกลงเจรจาการค้าสหรัฐฯ เตรียมนำเข้าเครื่องบิน 90 ลำภายใน 10 ปี แจงนำเข้าหมูไม่เกิน 1% ของการบริโภคในประเทศ ยันไม่ได้ให้สัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ-ความมั่นคงกับสหรัฐฯ ชี้อัตราภาษี 19% เริ่มนับจากการส่งออกหลัง 7 ส.ค. 68 กลุ่มสินค้าผ่านทาง 40% คาดนโยบายการเงินชัดเจนขึ้นแบงก์ชาติทำงานใกล้ชิด
1 ส.ค. 2568 ที่กระทรวงการคลัง เวลาประมาณ 10.30 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บอัตราภาษีนำเข้าไทยที่ 19% ว่า สาระสำคัญในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ประกอบด้วย 4 เรื่องหลัก ได้แก่ อัตราภาษีนำเข้า การนำเข้าสินค้าไทยจากสหรัฐฯ การลงทุน และ มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดย
1. อัตราภาษีนำเข้า โดยได้กำหนดสินค้าที่ไทยมีความพร้อมในการเปิดตลาดนำเข้า 0% ให้สหรัฐฯ คือ สินค้าที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้า FTA กับประเทศอื่นอยู่แล้ว หรือ กลุ่มที่ไทยผลิตและใช้เองในประเทศไม่พอ ส่วนกลุ่มสินค้าที่ให้ 0% กับสหรัฐฯ บางรายการจะไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันที โดยได้มีการขอเวลา 3-5 ปีก่อนจะเป็น 0%
2. การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่หลังจากนี้ไทยจะนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยและเป็นการนำเข้าเพื่อแปรรูปและส่งออก
สำหรับการนำเข้าเครื่องบินจากสหรัฐฯ ปัจจุบันได้มีการบินไทยได้มีแผนการซื้ออยู่แล้ว โดยจะนำเข้ามาเพิ่มอีก 80-90 ลำภายใน 10 ปี
“ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องโควิด การบินไทยมีเครื่องบินอยู่ประมาณ 100 ลำ ที่ผ่านมาก็เก่าไปบ้างก็ต้องทยอยเปลี่ยนให้ได้ภายใน 10 ปี ตอนนี้ก็ซื้อลำเล็กมาบ้างแล้วและเช่ามาบ้าง คิดว่าก็ต้องซื้ออีกสัก 80-90 ลำ แต่ไม่ได้ซื้อทีเดียวจะทยอยสั่งเรื่อย ๆ เป็นจำนวนที่เราบอกเขาตามแผน”
ด้านการนำเข้าพลังงาน ปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้นำมันดิบอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยไทยจะนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 10% จากที่ซื้อจากทั่วโลก โดยสัญญาแรกจะเริ่มในปี 2569
สำหรับภาคการเกษตร เช่น หมูจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่ไม่มาก ขณะที่จะมีการตรวจโรงงาน สารเร่งเนื้อแดง
“เรื่องหมูเราให้เขาน้อยมาก เช่น เราบริโภค 100% เราอาจจะให้เขาไม่ถึง 1% และยังมีกติกาอื่นๆ ที่ทำให้เข้ามาไม่ง่าย แต่อย่าลืมว่าการให้ 0% เป็นภาษีนำเข้าไทยยังมีภาษีชนิดอื่นและขั้นตอนอีก”
3. การลงทุนไทยในสหรัฐฯ จะพิจารณาลงทุนในกลุ่มที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ เช่น เกษตรแปรรูป และพลังงาน
4. ข้อตกลงการค้าที่ไม่ใช่ภาษี จะมีการแก้กฎระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการนำเข้าส่งออกมากขึ้นสัดส่วนมูลค่าเพิ่มภายในภูมิภาค (Regional Value Content) หรือ สัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ ( Local Content ) ยังไม่มีความชัดเจนต้องเจรจากันต่อ
“เรื่อง RVC ยังไม่จบ แต่คิดว่าสหรัฐฯ อยากเห็นสัดส่วนที่สูง เราอาจจะอยากเห็นไม่สูงนัก ถ้าเรื่องนี้ยังไม่จบเขาอาจจะใช้เกณฑ์เดิมไปก่อนที่ 30-40% แต่ก็คงจะเร่งตกลงกัน”
สำหรับแนวทางในการป้องกันสินค้าราคาถูกไหลเข้าประเทศ แม้ไม่มีมาตรการภาษีสหรัฐฯ แต่หากสินค้าที่เข้ามาไม่ได้มาตรฐานก็ควรมีการกำกับดูแล ส่วนสินค้าที่เข้ามาผลิตในไทยแต่ไม่ได้ใช้ทรัพยากรหรือจ้างแรงงานในไทย หรือมีสัดส่วน Local Content น้อยก็ต้องมีการควบคุม
ทั้งนี้นายพิชัย ยืนยันว่า ไม่มีการให้สัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติและเรื่องความมั่นคงกับสหรัฐฯ โดยให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์
“เวลาผมคิดผมก็เอาเรื่องเหล่านั้นมาพิจารณาเฉยๆ แต่การเจรจาผมมุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจและการค้า”
อย่างไรก็ตามการกำหนดอัตราภาษีไทยที่ 19% หากเป็นการส่งออกจากไทยไปก่อนวันที่ 7 ส.ค. 2568 จะยังได้รับอัตราภาษีเดิมที่ 10% ส่วนหากส่งออกหลังวันที่ 7 ส.ค. 2568 จะต้องจ่ายอัตราใหม่คือ 19% ส่วนกลุ่มสินค้าผ่านทางจะต้องจ่าย 40%
“ตอนนี้ถ้าจะดูว่าประเทศไหนได้เปรียบเสียเปรียบก็ต้องดูที่ประเภทสินค้าผ่านทางที่โดน 40% แต่ตอนนี้ทุกประเทศก็ทำงานเต็มที่เพื่อรักษาความได้เปรียบเสียเปรียบและแข่งขันกันในเรื่องที่ควรแข่งขัน อย่างไรก็ตามเมื่อการทำงานจบอย่างเป็นทางการก็จะมีการประกาศรายละเอียดอัตราภาษีให้ผู้ประกอบการทราบเช่นเดียวกับการทำ FTA”
นายพิชัย เปิดเผยต่อว่า ขั้นตอนการทำงานหลังจากนี้จะมีการลงรายละเอียดในเรื่องต่างๆ รวมถึงเตรียมแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตและประเทศ ทั้งนี้จะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
“ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ หรือไม่ โจทย์ที่สำคัญที่สุดของไทยคือต้องทำงาน สิ่งที่เขามาขอให้เราทำเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของเราถูกลงเพราะจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคและการแข่งขัน การเจรจาภาษีคือเรื่อง 1 ใน 3 ที่เราทำ ยังมีงานอีก 2 ใน 3 ที่เราต้องทำ”
สำหรับมาตรการช่วยเหลือปัจจุบันยังมีงบประมาณในการช่วยผู้ประกอบการส่งออกที่ได้ปรับการผลิตลดลง การส่งออกที่ชะลอลง โดยการใช้งบประมาณจะยึดหลักทำให้เกิดการจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ขณะที่เรื่องอัตราดอกเบี้ยโนบายให้เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลต่อทั้งเรื่องปริมาณเงิน อัตราแลกเปลี่ยน
“ตอนนี้เราก็ได้ให้ข้อมูลไปเยอะ แบงก์ชาติก็ทำงานใกล้ชิดกับเรา ก็คงจะเห็นสถานการณ์ว่าตอนนี้ผู้ส่งออกต้องการอะไร”
ส่วนจะมีการเดินทางไปลงนามสัญญากับสหรัฐฯ เมื่อไร นายพิชัย เปิดเผยว่า ยังไม่ได้กำหนดเวลาเดินทางตอนนี้ยังมีเวลาในการทำงานเพื่อตกลงรายละเอียด