ชี้สารพิษเหมืองเขตว้า ปนเปื้อนน้ำกก กระทับท่องเที่ยว-เกษตร-ประมง “เชียงใหม่-เชียงราย”เสียหาย 1,300 ล้านต่อปี
เชียงใหม่ – เผยผลประเมินเบื้องต้น น้ำกกปนเปื้อนสารพิษเหมืองทอง/แรร์เอิร์ธ พื้นที่รัฐฉานเขตว้าตอนใต้ กระทบทั้งท่องเที่ยว-เกษตร-ประมง ตลอดลุ่มน้ำตั้งแต่เชียงใหม่-เชียงราย เสียหายไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาทต่อปี
หลังเกิดปัญหาสารพิษ ที่เชื่อว่ามาจากเหมืองทอง-แรร์เอิร์ธ ในพื้นที่ต้นน้ำกก เขตรัฐฉานตอนใต้ ของเมียนมา ห่างจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เพียง 30-40 กม. ปนเปื้อนในแม่น้ำกกตลอดสาย ก่อนไหลลงแม่น้ำโขง จนส่งผลกระทบต่อผู้คนทั้งลุ่มน้ำ ในพื้นที่เชียงใหม่-เชียงราย ตั้งแต่ต้นปี 68 เป็นต้นมา
Lanner (ลานเน้อ) สื่อออนไลน์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่เคยเป็นนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางสังคม-เป็น NGO ได้รวมข้อมูล-ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้น หากแม่น้ำกกเกิดการปนเปื้อนสารพิษในระดับที่ไม่สามารถใช้งานได้ ระบุว่า ความเสียหายจากแม่น้ำกกปนเปื้อนจะกระทบภาคอาชีพหลัก 3 ภาค ประกอบด้วย 1.ภาคการท่องเที่ยว 2.ภาคการเกษตร 3.ภาคประมง ของชุมชนตลอด 20 ตำบลริมแม่น้ำกก รวมมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1,300,006,731 บาทต่อปี
ท่องเที่ยว เสียหายกว่า 773,530,143 บาทต่อปี
“lanner” ระบุว่า จากข้อมูลจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) ร่วมกับการเก็บข้อมูลสถานประกอบการที่อยู่ในรัศมี 3 กิโลเมตรจากแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยพิจารณาจากอัตราการเข้าพัก สัดส่วนค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับที่พัก รวมถึงอัตราความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวกับแม่น้ำกกโดยตรง
การท่องเที่ยว จะเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงสุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 773,530,143 บาทต่อปี แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่พัก โรงแรม และรีสอร์ทริมแม่น้ำกก รวมกว่า 669 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น ล่องเรือ แพเปียก ขี่ช้าง อีกกว่า 104 ล้านบาท
จากฐานข้อมูลอัตราการใช้บริการของนักท่องเที่ยวเทียบกับมูลค่ารวมการท่องเที่ยวทั้งจังหวัด และอ้างอิงค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายกับที่พักที่อยู่ในรัศมีที่กำหนด ที่พักริมแม่น้ำกกในเชียงรายมีจำนวน 109 แห่ง คิดเป็น 16.42% ของที่พักทั้งจังหวัด ขณะที่เชียงใหม่มี 13 แห่ง คิดเป็น 1.29% จากทั้งหมด 1,674 แห่งในทั้งสองจังหวัด มูลค่ารวมของกิจกรรมที่พักริมแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่กว่า 669,491,447 บาทต่อปี
สำหรับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำ พบว่ามีเรือหางยาว 30 ลำให้บริการในเส้นทางยอดนิยม เช่น เชียงราย - บ้านรวมมิตร มีแพเปียก 4 เจ้า (คาดการณ์ว่ามีทั้งหมด 40 ลำ) และบริการขี่ช้างท่องเที่ยวจากหมู่บ้านปางกระเหรี่ยงรวมมิตรอีก 9 เชือก หากรวมมูลค่ารายได้ต่อปีจากกิจกรรมเหล่านี้ที่อิงจากรอบให้บริการและจำนวนวันเปิดทำการ จะพบว่าความเสียหายเฉพาะในหมวดกิจกรรมริมน้ำมีมูลค่ารวมกว่า 104,038,696 บาทต่อปี
ภาคเกษตร เสียหายกว่า 511,450,458 บาทต่อปี
ด้านการเกษตร ได้รับผลกระทบเป็นลำดับถัดมา คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 511,450,458 บาทต่อปี จากพื้นที่เกษตรริมฝั่งแม่น้ำกกที่ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกได้ ทั้งนี้ การประเมินใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่จากกรมพัฒนาที่ดิน โดยระบุพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ใน 20 ตำบลซึ่งแม่น้ำกกไหลผ่าน มีพื้นที่รวม 1.3 ล้านไร่ ซึ่งอยู่ใน Risk Zone (ระยะห่างจากแม่น้ำไม่เกิน 3 กม.) มีพื้นที่เกษตรกรรมรวมทั้งสิ้น 131,607 ไร่
ในจำนวนนี้ ร้อยละ 78.97 เป็นพื้นที่ปลูกข้าว (ทั้งข้าวนาปีและข้าวนาปรัง) คิดเป็น 103,924 ไร่ ที่เหลืออีก 27,682 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้างอิงข้อมูลราคาพืชผลเฉลี่ยในปี 2568 จากสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย พบว่าข้าวมีมูลค่าต่อไร่อยู่ที่ 4,496 บาท และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ 1,597 บาท เมื่อคำนวณรวมกันจะพบว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคการเกษตรจากการไม่สามารถใช้น้ำได้เลยเป็นระยะเวลา 1 ปี จะมีมูลค่ารวมประมาณ 511 ล้านบาท
การประมง เสียหายกว่า 15,026,130 บาทต่อปี
ภาคประมง ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแม่น้ำกก พบว่าความเสียหายรวมอยู่ที่ประมาณ 15,026,130 บาทต่อปี อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกรีบในพื้นที่ จำนวนชาวประมงในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกจำนวน 105 คน จับปลาในช่วงฤดูปลาขึ้นปีละประมาณ 51 วัน เฉลี่ยสามารถจับได้คนละ 11.5 กิโลกรัมต่อวัน ราคาปลาตลาดเฉลี่ย 244 บาท/กก. หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานได้ ก็เท่ากับชาวประมง ทั้งหมดไม่สามารถสร้างรายได้เลยทั้งฤดูกาล
เบ็ดเสร็จเสียหายทั้งหมด 1,300,006,731 บาทต่อปี
รวมความเสียหายจากทั้ง 3 ภาคส่วน หากแม่น้ำกกกลายเป็นแหล่งน้ำที่ไม่สามารถใช้งานได้เลยตลอดระยะเวลา 1 ปี จะมีมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 1,300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลกระทบในระดับโครงสร้างระยะยาว เช่น การสูญเสียงาน การย้ายถิ่นฐานของแรงงาน หรือผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่โดยตรง
ทั้งนี้ การประเมินใช้สมมุติฐานว่าแม่น้ำกกกลายเป็นแหล่งน้ำที่ไม่สามารถใช้งานในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เลยเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้เห็นภาพรวมผลกระทบเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน และเพื่อใช้เป็นจุดตั้งต้นในการตั้งคำถามต่อกลไกของรัฐในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือ
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO