พิชัย เปิดดีลภาษีสหรัฐ แลกนำเข้าพลังงาน–เครื่องบิน-เนื้อหมูไม่เกิน 1%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทยในอัตรา 19% ว่า อัตราภาษีดังกล่าวอยู่ในระดับที่ไทยสามารถแข่งขันได้ พร้อมยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดเสรีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ ในอัตรา 0% ทุกรายการ ขณะที่สินค้าที่ผลิตและมีปริมาณเพียงพอในประเทศ ยังไม่มีการเปิดเสรี แต่เป็นการเจรจาเปิดตลาดแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในกรอบที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยยืนยันว่าดีลแลกภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯครั้งนี้ ไม่มีเกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ และความมั่นคง เป็นการหารือด้านเศรษฐกิจทางการค้าเป็นหลักเท่านั้น
"ที่ผ่านมา 30–40 ปี ไทยทำการค้ากับหลายประเทศยกเว้นสหรัฐฯ โดยไทยมี FTA กับออสเตรเลียแล้ว จึงเสนอให้สหรัฐฯได้สิทธิภาษีเทียบเท่า เช่น ส่งสินค้าเข้าไทยเสียภาษี 0% แต่ไทยส่งกลับยังเสีย 19% ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้ผู้บริโภคไทย อย่างไรก็ตาม หากสินค้าเหล่านั้นไทยผลิตไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา แม้รัฐจะขาดรายได้จากภาษีนำเข้า แต่สินค้าที่ไทยผลิตได้แต่ไม่เพียงพอ หากเปิดภาษี 0% อาจกระทบผู้ผลิตในประเทศ ไทยจึงขอเงื่อนไข เช่น ขอเวลาปรับตัว 5 ปี หรือเปิดนำเข้าแบบมีโควตา เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะเปลี่ยนผ่าน"
เปิดนำเข้าสินค้าจำเป็น-ลดต้นทุนในประเทศ
ไทยจะเปิดนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น พลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้ง โดยได้ลงนามสั่งซื้อก๊าซ LNG จำนวน 1 ล้านตัน และมีแผนจัดซื้อเครื่องบินใหม่ประมาณ 100 ลำ ภายใน 5–10 ปี เพื่อเสริมศักยภาพการเดินทางและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังไทยไม่ได้ซื้อเครื่องบินมานานตั้งแต่ช่วงโควิด
“ไทยขาดแคลนพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยมีการนำเข้าน้ำมันสูงถึง 90% จากทั่วโลก จึงมีโอกาสซื้อจากสหรัฐฯ ได้ถึง 10% หรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากตะวันออกกลาง 50% ขณะนี้ได้ทำสัญญาสั่งซื้อ LNG จำนวน 1 ล้านตันแล้ว โดยจะมีการส่งมอบในปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนราคาไฟฟ้าในประเทศ ทำให้ราคาไฟฟ้าในประเทศลดลง” นายพิชัยกล่าว
คุมเข้มนำเข้าสินค้าเกษตร ไม่กระทบเกษตรกร
ไทยยืนยันคุ้มครองเกษตรกรอย่างเข้มงวด โดยจะเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ไม่เกิน 1% ของปริมาณบริโภค พร้อมกำหนดมาตรการเข้มข้น เช่น ห้ามนำเข้าเครื่องในและตรวจสารเร่งเนื้อแดง
ส่วนข้าวโพดถือว่ามีความจำเป็นใช้ปริมาณสูง เนื่องจากผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน จากความต้องการ 10 ล้านตัน รัฐบาลจึงเสนอเปิดนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ แบบมีโควตา โดยกำหนดให้ซื้อผลผลิตในประเทศก่อน เพื่อไม่กระทบเกษตรกร พร้อมส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตในระยะยาว โดยจำกัดให้เป็นข้าวโพดปลอดการเผาเท่านั้น
“เราเปิดให้นำเข้าเนื้อหมูไม่ถึง 1% เพื่อลองตลาดไทยว่าจะซื้อหรือไม่ แต่การเปิดนำเข้าเนื้อหมูจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ ทั้งจำนวนและมาตรการ โดยสัดส่วนจะน้อยมากจริงๆ ส่วนเครื่องในเราไม่เปิด และสินค้าที่ไทยให้ภาษี 0% กับสหรัฐฯ มีหลายหมื่นรายการ ซึ่งบางรายการสหรัฐฯ ไม่ได้ผลิต เช่น ลำไย หรือปลาสลิดที่ราคาสูงกว่าไทย”
สินค้าที่ได้รับภาษี 0% เฉพาะที่ไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศ
สินค้ากลุ่มนี้ ได้แก่ สินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่เพียงพอ เช่น เชอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ เครื่องดื่มบางประเภท และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้ผู้บริโภคได้สินค้าราคาถูกโดยไม่กระทบผู้ผลิตภายในประเทศ
สินค้าสวมสิทธิ์ถูกเก็บภาษี 40%
สิ่งที่ยากที่สุดในการเจรจาคือเรื่องที่ไม่ใช่ภาษี ไทยส่งออกไปกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีสินค้าประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯ สงสัยว่าอาจไม่ใช่สินค้าของไทยจริงๆ สำหรับสินค้าสวมสิทธิที่มาจากประเทศอื่น แต่มีสัดส่วนผลิตในไทยต่ำ สหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นสถานการณ์นี้ และจะกำหนดสัดส่วนสินค้าไทยในการผลิต แม้ยังไม่ตกลงได้แน่ชัด หากเข้าเกณฑ์สวมสิทธิ จะถูกเก็บภาษี 40% ไทยจะเร่งแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง
"สินค้าที่ไม่ได้ผลิตจริงในไทย หรือมีสัดส่วนผลิตในประเทศต่ำ (สินค้าสวมสิทธิ์) จะถูกสหรัฐฯเก็บภาษีสูงถึง 40% เช่นเดียวกับประเทศอื่น โดยกรมศุลกากรไทยและสหรัฐฯ จะร่วมกันตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวดโดยใหกระทรวงพาณิชย์ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ" นายพิชัยกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าก่อนวันที่ 7 ส.ค. 2568 จะเสียภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ในอัตรา 10% หากส่งออกตั้งแต่ 7 ส.ค.2568 จะเสียภาษี 19% และหากพบเป็นสินค้าสวมสิทธิ จะเสียภาษี 40% ทันที
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน
นายพิชัยย้ำว่า การเปิดตลาดครั้งนี้ไม่ใช่การเปิดเสรีแบบไม่มีข้อจำกัด แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการนำเข้าสินค้าจำเป็น การคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ และส่งเสริมภาคธุรกิจปรับตัว โดยเฉพาะ SME ที่จะได้รับการสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในระยะยาว
เป้าหมายระยะยาว แข่งขันได้-ผู้บริโภคได้ประโยชน์
ด้านการแก้ไขกฎระเบียบและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี สหรัฐฯ ทำเซอร์เวย์ประจำปี พบปัญหาเอกสารล่าช้า มาตรฐานสินค้ารับรองช้า และขั้นตอนยุ่งยาก โดยต้องการให้ไทยเร่งแก้ไข ไทยจึงมองเป็นโอกาสปรับปรุงระบบ
นายพิชัยสรุปว่า ไทยต้องการใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยใช้การเปิดตลาดเป็นเครื่องมือในการลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว และสร้างสมดุลให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ผลิต
ส่วน การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพีไทยปีนี้ นายพิชัยมองว่า มีโอกาสเติบโตเกิน 2.2% ตามคาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการทำงานและปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไทยต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์