'สุจริต มัยลาภ' ผู้บริหารซีพีเอฟ วิ่งเหยาะๆ กำจัดความเครียด
สุจริต มัยลาภ หรือ ‘โด่ง’ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และกรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ดโซลูชั่น จำกัด (CPFGS) บริษัทน้องใหม่ ที่เกิดจากรวมธุรกิจเทรดดิงและส่งออก
ปัจจุบัน CPFGS ดูแลธุรกิจ ครอบคลุมในต่างประเทศ 40% และในประเทศ 60%
โด่งเล่าว่า ผมจบเศรษฐศาสตร์ จากอเมริกา ไปเรียนอยู่ 7 ปี ตั้งแต่ไฮสคูล พอกลับมาก็ทำงานสายธุรกิจไฟแนนซ์ ที่ภัทร ผ่านมา หลายๆ บริษัท อาทิ อาร์เธอร์ แอนเดอร์สันก็ไปทำด้าน Strategy ให้ปตท. ตอนนั้นจะแปรรูป ก่อนจะมาร่วมงานกับ ซีพีเอฟ ซึ่งตอนแรกผมมาช่วยในส่วนของ ซีพีเมจิ
“ผมทำซีพีเมจิเป็นเวลา 9 ปี แล้วก็มาทำการค้าภายในประเทศ ซีพีเฟชมาร์ชขายเข้าโมเดิร์นเทรด ตลาดสด และร้านอาหาร รวม 2 ปี และไปอยู่โลตัส แมคโคร 2 ปี แล้วก็กลับมาที่นี่ (ซีพีเอฟ) ขึ้นปีที่ 4 แล้ว ครั้งนี้จะดูการค้าทั้งหมดทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงร้านอาหารในเครือซีพีเอฟด้วย”
โด่ง-สุจริต เล่าต่อไปว่า เขาเติบโตมาจากครอบครัวทหาร คุณพ่อและคุณปูเป็นทหาร คุณตาก็เป็นทหาร ทว่าเขานั้นกลับเป็นนักบริหาร มีพี่ชายเป็นสถาปนิก น้องชายเป็นซีอีโอบริษัทไอทีสกาย
เขาเคยผ่านเส้นทางชีวิตหล่อๆด้วยการเป็นนายแบบ Johnnie Walker และถ่ายงานถ่ายแบบอีกมากมายในสมัยนั้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ถามถึง ไลฟสไตล์ สมัยก่อนอาจจะตีกอล์ฟ ทว่าปัจจุบันหันมา วิ่งเหยาะๆ ในสวนสาธารณะ
“ผมวิ่งที่สวนเบญจทัศน์ ตอนเช้า 6 โมงเช้า วันละ 5.55 กม. (หัวเราะ) เพราะเราคำนวณแล้วว่าการวิ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีไม่นานเกินไป เดือนหนึ่งเราวิ่ง 10-12 ครั้ง หรือไม่ก็ประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในวันที่เราวาง
ผมตั้งเป้าปีละ 480-500 กม. แต่ปีนี้มีเป้าหมาย 700 กม. ก็ต้องเพิ่มเวลา ถามว่าทำไมต้อง 5 กม. เพราะเราเคยวิ่งเยอะกว่านี้ จากวิ่ง 5กม.แล้วขยับไปวิ่ง 10 กม. เรารู้สึกว่าใช้เวลานานเกินไป ไม่ค่อยสนุก การจะไปให้ถึงจุดหมาย เราก็ต้องจัดตารางให้ดี”
ถามถึงเหตุผลที่ออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง ผู้บริหารซีพีเอฟตอบว่า เพราะเราอยู่บริษัทอาหารก็จะต้องดูแลสุขภาพนิดหนึ่ง (หัวเราะ) จริงๆ เราเริ่มวิ่งมานานแล้ว
ก่อนจะมาที่นี่เราทำซีพี เมจิ มาก่อน ตอนนั้นเราทำไฮโปรตีน เริ่มไปสนับสนุนด้านกีฬา ตอนนั้นเป็นยุคที่คนมาเล่นกีฬากันมาก มาราธอน ช่วงนั้น ปี 14-15 แต่เรามีจุดที่ไปวิ่งหลายที่สวนลุมฯบ้าง ส่วนรถไฟ หรือถ้าวันไหนฝนตก ก็วิ่งลู่แทน
“การเราวิ่ง 5.55 กม. นาน 40 นาที ทำให้เรามีเวลาคิดอะไรหลายๆอย่าง ทำให้หายเครียด การที่เราเลือกวิ่งตอนเช้า เพราะวิ่งเช้าๆเราจะเจอแต่คนที่มาวิ่งจริงๆ แต่ถ้าวิ่งตอนเย็นเราจะเจอทั้งคนมาวิ่ง คนที่มาเดินดูวิว มาถ่ายรูป เจอคนหลากหลาย เราต้องวิ่งหลบคนที่เดินอยู่
พอเราได้วิ่งสม่ำเสมอแล้วหันมาดูแลสุขภาพตัวเอง ก็รู้ว่าร่างกายดีขึ้น ไม่เป็นหวัดเลย หรือหากเป็นก็เป็นไม่นานก็หาย ไม่ใช่เท่านั้น การวิ่งยังทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่ง ไม่เครียด มีจุดที่เราจะดีลีทความเครียด
เพราะการที่เราวิ่ง 5 กม.นี้ ช่วงแรกเราจะยังคิดวนๆ เรื่องงานอยู่ในช่วง 5-10 นาทีแรก ยังฟุ้งซ่าน แต่หลังจากนั้นเราจะค่อยมาจดจ่อกับการวิ่ง มาโฟกัสกับตัวเอง เราจะเริ่มนับลมหายใจ หายใจเข้าสองที ออกสองที ผมวิ่งไม่ฟังเพลงนะ วิ่งสงบๆ ฟังเสียงรอบๆ เรามีสมาธิกับสิ่งที่เราทำอยู่ตรงหน้า เรื่องทุกอย่างที่เครียดๆ จะค่อยๆหายไปจนหมด ทำให้เรารู้สึกค่อยๆ ผ่อนคลาย”
ความรู้สึกหลังจากการวิ่ง นอกจากผ่อนคลายแล้ว ผลที่ได้ก็คือรูปร่างเริ่มกระชับขึ้น น้ำหนักลดลง น้ำหนักก็ทรงๆ อยู่เท่านี้ ถ้าเราเริ่มอยากให้น้ำหนักลงมากกว่านี้
เราก็มาปรับอาหารการกิน เช่นกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล น้ำหนักเราก็ลดลงมา 2-3 กม. เพราะวันหนึ่งดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว พอลดน้ำตาลก็ดีขึ้นเยอะเลย เราเองก็ศึกษาข้อมูลจากที่ต่างๆ เช่น น้ำตาลทำให้หลอดเลือดอักเสบ และไม่ยืดหยุ่น ผลดีของการออกกำลังกายก็คืออาการเจ็บป่วย ก็จะยากขึ้นด้วย
ถามถึง ภารกิจร่วมส่งไก่ไปอวกาศ โด่ง-สุจริต ตอบว่า เขาทำงานร่วมกับคณะซีอีโอ (ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ) ส่งไก่ไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 บินไปส่งถึง NASA Kennedy Space Center แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา กันเลยทีเดียว
“กว่าเราจะพาไก่ไปอวกาศได้ ต้องผ่านมาตรฐานนาซ่า ต่างๆ ซึ่งเราใช้เวลากว่า 2 ปี ในการพัฒนาโครงการนี้ เราก็ทำงานร่วมกับนาซ่า ไก่ที่ส่งไป คนที่กินไก่เราเป็นนาซ่า นักบินอวกาศได้กินอาหารเป็นชิ้น ไม่ได้เป็นหลอดเป็นเม็ด มีอาหารไปอวกาศ เช่น ข้าวบาสมาติ อาหารอินเดีย รัสเซียก็กินอาหารรัสเซีย เพราะเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญ เพียงแต่ว่าจะต้องทำให้ได้มาตรฐาน ที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาให้แมทซ์กับนาซ่า
เราทำแล็ป มี Third Party เรียบร้อย นาซ่าก็ส่งคนมาดู เราก็ต้องทำงานกับคนที่ดูแลเรื่อง นรูทริชั่นนิส ด้วย ต้องมีนรูติชั่นแนลแวลู่ เรื่องอาหารไม่ใช่มีเราทำได้คนเดียว แต่เราก็เป็นคนแรกๆ ที่ทำ ไก่กะเพรา ก็เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของเรา หลายประเทศชอบกะเพราไทย ส่วนไก่ขึ้นไปอวกาศนั้นไปในนามของไก่ไทยนะ”
หากมองภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ สิ่งที่เป็นห่วงหลักๆเลยก็คือเรื่องต้นทุนราคาน้ำมัน เพราะเรื่องอิสราเอส-ปาเลสไตน์ เพราะสงครามมา ช่องแคบฮอร์มุส ปิดก็มีผลกระทบเยอะ ก็มีเตรียมการ ปรับรูทติ้งการขนส่ง เพราะเรามีทีมดูแลเรื่องนี้ เรามีแผนรองรับ เหมือนเช่นกรณีที่ 2 ปีที่แล้ว ปัญหารัสเซีย-ยูเครน และแถบทะเลดำ ตอนนั้นทุกคนงง ส่วนเราก็มีโซลูชั่นของเรา เป็นโมเดลที่ทุกฝ่ายวิน-วิน
ซึ่งตอนนี้การค้าตลาดในประเทศ 60% ตลาดต่างประเทศ 40% เรามีฐานการผลิตอยู่ใน 14 ประเทศ ขายไปยังประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา สแกนดิเนเวีย ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศไหนก็ขายในประเทศนั้น อย่างสหรัฐ ก็มีโรงงานผลิตในสหรัฐที่ขายในประเทศอยู่แล้ว และสินค้าอาหารสดบางชนิดยังไม่สามารถเข้าไปทำการตลาดได้ เราก็ทำอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน
“ถามว่าเจอภาษีทรัมป์มีอะไรรู้สึกเป็นห่วงไหม จริงๆ ไม่น่าเป็นห่วงเพราะเราส่งไปอเมริกาไม่เยอะ เพราะเรามีโรงงานที่อเมริกาเอง ส่วนใหญ่ผมว่าไม่ได้กระทบ”
กลับมาถามถึงเรื่อง ไลฟสไตล์ ต่ออีกสักนิด อยากถามถึงหนังสือเล่มล่าสุดที่คุณโด่งอ่านคือเรื่องอะไร ?
ผู้บริหารซีพีเอฟ ตอบว่า หนังสือ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์
“สิ่งที่ได้ก็คือ อดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาบอกว่าวิชั่นคนเราอย่าไปเซ็ทให้มันยากเกินไป มันจะมี 3 ปี 5 ปี สุดท้ายเราจะถึงวิชั่นได้ถ้ามี discipline (วินัย) และ Consistency (ความสม่ำเสมอ) เราจะไขว์คว้าหาความรู้จนสำเร็จได้ แต่เราจะปรับอย่างไร ให้มีเป้าหมายชัดเจนและทำให้ได้จริงๆ
ส่วนอีกเล่มก็จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับนักวิ่งมาราธอน วิ่ง 100 ไมล์ เป็นแชมป์ 3 สมัย เขาบอกกินอะไร ทำไมต้องกินแบบนี้ เขาเป็นมังสวิรัติ เพราะเอนไซม์ในร่างกายมันย่อยของพวกนี้ได้ดี
และเขาจะเล่าให้ฟังว่าระหว่างวิ่ง 10 กม.แรก คิดอะไร และ 60 ไมล์ (คูณ 1.5 แปลงเป็นกม.) คิดอะไร เขาจะบอกว่าเริ่มหลอน เพราะร่างกายมันเหนื่อยใช้น้ำไปเยอะ เขาพยายามคิดถึงเรื่องครอบครัว บียอนซ์ไป
ผมว่าเราจะทำอะไรวาง Goal ไว้ ร่างกายมันทำตาม Goal ที่เราคิด เพราะร่างกายคนเรามันเสามารถปรับตัวไปได้ การปรับตัวไปสู่เป้าหมายเป็นกลไกของร่างกายอยู่แล้ว เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แต่เราต้องทำให้ได้