ยานยนต์ยุคใหม่! CITE DPU จับมือ APITech-ANTTech สร้างเด็กสู่โลก EV

เมื่อวันที่ 2 -3 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ APITech และ ANTTech เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพด้านการศึกษา และพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์ไฟฟ้า EV และหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รองรับยุค Connected Car และ Smart Mobility พร้อมมุ่งยกระดับองค์ความรู้และสร้างช่างเทคนิคคุณภาพสูง เพื่อปูทางสู่นวัตกรรมที่ยั่งยืนในอนาคต

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการบรรยายหัวข้อ 'ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่' โดย ผศ.ดร. ชัยพร เขมะภาตะพันธ์ คณบดีวิทยาลัย CITE-DPU ต่อด้วยพิธีลงนาม MOU ระหว่างวิทยาลัย CITE-DPU กับ APITech และ ANTTech โดยมีท่านคณบดี ร่วมลงนามเป็นผู้แทน พร้อมด้วย ปิยณัฐ อภัยศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ้นเทค 2017 จำกัด

โดยมีพยานในพิธีฝ่าย วิทยาลัย CITE-DPU ประกอบด้วย ผศ.อรดี พฤติศรัณยนนท์ รองคณบดี CITE-DPU และ พันตรี พิพัฒน์พงศ์ ปรีเปรม หัวหน้าหลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี อาจารย์กัณฐภัทร ไชยแสน อาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอาจารย์วรัฏฐา สุขพงษ์ไทย หัวหน้าหลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์ ทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินงาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

CITE DPU ชู 4 หลักสูตร ป.โท Upskill - Reskill รองรับ AI -ดิจิทัล

ปรับหลักสูตร 'คณะการท่องเที่ยวฯ DPU' บูรณาการ AI-SDGs ปั้นบัณฑิตรักษ์โลก

โอกาสทองนักศึกษารุ่นใหม่ รับโลกยานยนต์

หลังพิธีลงนาม MOU กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปด้วยการบรรยายเชิงลึกและภาคปฏิบัติที่มุ่งเน้นความรู้ด้านยานยนต์สมัยใหม่ โดย พ.ต.พิพัฒน์พงศ์ และอาจารย์นายรายัน ยังส้มป่อย ได้ร่วมกันบรรยายหัวข้อ ‘การซ่อมบำรุงจักรยานยนต์สมัยใหม่’ ส่วนในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ช่วงเช้า กิจกรรมเข้มข้นต่อเนื่องด้วยการบรรยายหัวข้อ ‘การปรับและวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์สมัยใหม่’ โดย พ.ต.พิพัฒน์พงศ์และอาจารย์นายรายัน จากนั้นในช่วงบ่าย พ.ต.พิพัฒน์พงศ์ ยังนำทีมผู้เข้าร่วมได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติในหัวข้อเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 4 สถานีหลัก ได้แก่ Dyno 6 ล้อ, Doctor, Air Flow และอื่นๆ ร่วมกับ อาจารย์กัณฐภัทร, อาจารย์อนิรุทธิ์ นุ่นแก้ว และอาจารย์จากทาง API อีก 2 ท่าน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และลงมือทำกับเครื่องมือจริง

ผศ. ดร. ชัยพร ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นการลงนามที่ชัดเจนระหว่างวิทยาลัย CITE DPU กับ APITech และ ANTTech โดย APITech จะร่วมมือกับหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ขณะที่ ANTTech จะร่วมมือกับหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์

คณบดีวิทยาลัย CITE-DPU ยังได้แสดงความขอบคุณทั้งสองบริษัทที่เข้ามาร่วมพัฒนา โดยเฉพาะในเรื่องของยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่ง APITech และ ANTTech ต่างมีประสบการณ์และความสามารถในการดำเนินงานอยู่แล้ว จึงเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และต้องการประสบการณ์และความสามารถจากภายนอก เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติจริงและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ

เน้นงานวิจัยและพัฒนากำลังคนเข้าสู่ยานยนต์ยุค EV

ด้านปิยณัฐ ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบริษัทว่า APITech ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 19-20 ปี โดยมุ่งมั่นในการเป็น "Oriental Product" หรือผลิตภัณฑ์ของคนตะวันออก ซึ่งหมายถึงสินค้าที่ผลิตโดยคนเอเชียและเข้าใจบริบทของตลาดเอเชียอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ APITech ยังมุ่งเน้นไปที่การวิจัยและพัฒนา (R&D) ในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ และได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ R&D ใหม่ 4 ชิ้นต่อปี โดยมอง R&D ในสองส่วนหลักคือ กลุ่มผู้ใช้รถ และกลุ่มช่างซ่อมบำรุง สำหรับกลุ่มผู้ใช้รถ APITech พัฒนา "Fun Bike" ซึ่งเป็นกล่อง ECU ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับจูนและตั้งค่าได้ด้วยตนเอง (DIY) ขณะที่สำหรับกลุ่มช่างซ่อมบำรุง ความภาคภูมิใจของ APITech คือการพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยปัญหา (Diagnostic tool) ที่สามารถบอกได้ว่าอะไรเสียภายใน 1 นาที ซึ่งตอบโจทย์ความท้าทายที่ช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์มักเผชิญ

"เครื่องมือวินิจฉัยถือเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และมีจำหน่ายไปแล้วกว่า 100,000 ยูนิต ครอบคลุมเกือบทุกร้านซ่อมในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ปิยณัฐ เผย

เรียนกับเครื่องมือจริง ฝึกจากผู้นำนวัตกรรมยานยนต์จากเอเชีย

APITech ยังแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Performance ซึ่งเน้นการพัฒนา ECU โดยเป็นหนึ่งในผู้พัฒนารายแรกๆ นอกเหนือจากผู้ผลิตยานยนต์ นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องมือทดสอบต่างๆ เช่น Dyno Test และ Flow Lamp (เครื่องวัดการไหลของอากาศ) ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการทดสอบในอดีตที่ช่างมักทดสอบบนถนนซึ่งอันตราย

อีกกลุ่มคือ Maintenance ที่มีผลิตภัณฑ์เด่นคือเครื่องมือ "Doctor" ซึ่งเป็นเครื่องมือวินิจฉัยปัญหาที่ได้รับความไว้วางใจจากช่างมากกว่า 80% ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา และสุดท้ายคือ กลุ่ม Digital Lifestyle ซึ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชัน Android สำหรับโหมดท่องเที่ยว และมีแผนจะพัฒนาในส่วนของ Bos ในปีหน้า

อย่างไรก็ดี APITech ยังได้จัดตั้ง หน่วยงาน EV โดยเฉพาะ ซึ่งดำเนินการพัฒนามา 2-3 ปีแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จแล้วคือชุด BMF และที่กำลังทดสอบกับผู้ผลิตคือชุดควบคุม BLDC แบบ FOC ความเชี่ยวชาญของ APITech คือความเข้าใจบริบทของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ "จูน" รถ ทำให้พวกเขามั่นใจว่าหากสามารถจูนเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ได้ ก็จะสามารถจูน EV ได้เช่นกัน

ปิยณัฐ ยังอธิบายเหตุผลที่เลือก DPU เป็นพันธมิตรว่า DPU มีความ 'เปิดกว้าง' และพร้อมรับความรู้ใหม่ๆ ที่สำคัญคือมี 'บุคลากรทางการศึกษาที่คุยภาษาช่างได้' โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เบียร์ (พ.ต.พิพัฒน์พงศ์ ปรีเปรม) ซึ่งสามารถเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ได้ นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของ "Logic ของคนจับประแจกับ Logic ของคนจับปากกา" ซึ่งอาจารย์เบียร์นั้นสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ "ได้ทั้งปากกาและประแจ" มีความเข้าใจทั้งเชิงวิศวกรรมและการปฏิบัติจริง

การที่อาจารย์เบียร์มีประสบการณ์การสอนและเคยติดตาม APITech ไปอบรมที่ภาคอีสาน ทำให้ APITech เห็นถึงความตั้งใจและวิสัยทัศน์ของ DPU ที่ต้องการให้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้าน EV ความร่วมมือครั้งนี้เริ่มต้นจากการทำงานแบบไม่เป็นทางการ โดยอาจารย์เบียร์ได้เชิญ APITech เข้ามาถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคลากรและนักศึกษาของ DPU ซึ่งนำไปสู่การเปิดหลักสูตรเทคโนโลยีซ่อมบำรุงยานยนต์สมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ DPU ยังมี Ecosystem ที่เข้มแข็งด้านการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubator) ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ API เล็งเห็นว่าสามารถส่งเสริมให้นักศึกษาที่เรียนรู้เทคนิคจาก APITech สามารถนำไปประกอบอาชีพและเปิดกิจการได้

จากช่างสู่เจ้าของกิจการ-สร้างรายได้ระหว่างเรียน

ความร่วมมือระหว่าง DPU และ APITech และ ANTTech มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะเรื่อง การขาดแคลนบุคลากรรองรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บุคลากรยังผลิตไม่ทันความต้องการของตลาด API มองว่า "หน้าที่ของตนคือการพัฒนาเครื่องมือ และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อม"

ประโยชน์ที่นักศึกษาจะได้รับอย่างชัดเจนจากความร่วมมือนี้มีสองประการหลัก ประการแรกคือ โอกาสในการเปิดร้านซ่อม นักศึกษาจะได้รับ "องค์ความรู้เพื่อนำไปใช้" ซึ่งแตกต่างจาก "องค์ความรู้เพื่อความเข้าใจ" ซึ่งพร้อมเปิดโอกาสให้นักศึกษาสร้างรายได้ระหว่างเรียนผ่านการฝึกปฏิบัติจริง นอกจากนี้ APITech ยังมีศูนย์ต้นแบบและกรณีศึกษาของร้านที่ประสบความสำเร็จ นักศึกษาสามารถฝึกงานและเรียนรู้การบริหารจัดการร้านซ่อมได้ โดย DPU ก็มีหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุน

ประการที่สองคือ การเป็นช่างที่ดีและมีคุณภาพ นักศึกษาจะได้รับประสบการณ์จริงจากเทคโนโลยีที่ใกล้ชิดกับงานจริง (Real Technology) และความหลากหลายของปัญหารถยนต์รุ่นต่างๆ ซึ่งจะเสริมจาก Case Study ที่เป็น Low Model จากสถาบันการศึกษา APITech ยังมีเครือข่ายร้านซ่อมที่เป็นพันธมิตรให้นักศึกษาได้ฝึกงาน

นักศึกษายังจะได้พัฒนาไปสู่การเป็น "บุคลากรที่เป็นอินเตอร์" เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในประเทศไทย พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม (CLMV) และกลุ่มประเทศอาเซียนอื่นๆ มีความคล้ายคลึงกัน หากสามารถสร้างบุคลากรที่มีแนวคิดแบบสากลได้ ประเทศชาติก็จะได้รับประโยชน์อย่างมาก

ร่วมกันพัฒนาไทย ‘ศูนย์กลางนวัตกรรมยานยนต์’

ความร่วมมือนี้ไม่ได้มุ่งเพียงผลประโยชน์เฉพาะของบริษัท มหาวิทยาลัย และนักศึกษาเท่านั้น แต่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่านั้น โดยปิยณัฐ กล่าวว่า บริษัทต้องการให้ APITech เป็น "Product of Oriental" ที่คนไทยสามารถภาคภูมิใจ ซึ่งปกติแล้วเรามักนำเข้าสินค้าดีๆ จากยุโรปหรืออเมริกา แต่ APITech ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ของคนไทยที่เข้าใจและเข้าถึงตลาดในประเทศและภูมิภาค

ในขณะเดียวกัน การผลิตบุคลากรที่มีความสามารถระดับสากลจาก DPU ก็จะช่วยให้ประเทศชาติได้ประโยชน์จากบุคลากรที่ได้รับการบ่มเพาะ สรุปแล้วคือ API ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์, มหาวิทยาลัยได้พัฒนาบุคลากร และบุคลากรที่พัฒนาขึ้นมาก็จะสามารถนำผลิตภัณฑ์ไปใช้และเข้าใจได้ ทำให้เกิดสถานการณ์ "Win-Win" ไปจนถึง "Win All" สำหรับทุกฝ่าย รวมถึงประเทศชาติด้วย

แม้ว่าประเทศไทยจะยังมีความท้าทายในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV เช่น สถานีชาร์จ ระยะทาง และ Ecosystem สำหรับการบริการและอะไหล่ แต่คุณปิยณัฐ เชื่อว่า "พลังงานไฟฟ้าของไทยยังรองรับรถ EV ได้ถึง 30% และมองว่ารถยนต์ไฮบริดอาจเป็นจุดกึ่งกลางที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน" APITech จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีในจุดที่เป็น ‘Pin Point’ หรือจุดที่ตลาดมีความต้องการและมีปัญหาให้แก้ไข

"มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกี่ยวกับ 'การทำธุรกิจ' จะสามารถช่วยให้นักศึกษาที่เรียนสายเทคนิค ไม่เพียงแต่เป็นวิศวกรหรือช่างเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ด้วย DPU มี Ecosystem ที่แข็งแรงในการบ่มเพาะธุรกิจ ทำให้นักศึกษาที่จบ ปวช. หรือ ปวส. สายเทคนิค มาเรียนต่อที่นี่ สามารถนำความรู้ไปเปิดกิจการได้" ปิยณัฐ กล่าว

กรรมการผู้จัดการบริษัทแอ้นเทค 2017 จำกัด ยังกล่าวย้ำทิ้งท้ายอย่างมั่นใจว่าไปคนเดียวอาจจะไปไกล แต่ไปด้วยกันน่ะไปถึงแน่นอน เป็นการเน้นย้ำถึงพลังของการผนึกกำลังที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานเพียงลำพัง การจับมือกันระหว่าง CITE-DPU และ APITech กับ ANTTech จึงไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาหลักสูตรหรือบุคลากรเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของไทย เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง