ดึงเอกชน 40 ชาติทั่วโลก บูมธุรกิจเครื่องมือแพทย์-บริการ แบรนด์ไทยแสนล้าน
ประเทศไทยพร้อมเขย่าวงการแพทย์โลก! เตรียมเปิดเวที MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 10-12 กันยายน 2568 ที่ศูนย์นิทรรศการไบเทค โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการกว่า 1,000 รายจาก 40 ประเทศทั่วโลกร่วมจัดแสดงบนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร
งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้ กำลังจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมสุขภาพไทย ท่อมกลางบูมธุรกิจเครื่องมือแพทย์ที่มีมูลค่าส่งออกพุ่งทะลุ 1.33 แสนล้านบาท และการนำเข้าเกือบ 1 แสนล้านบาท
เวทีระดับโลกแห่งนี้ไม่เพียงเป็นโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายใหญ่ของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์โลก (Medical Hub) พร้อมสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพเป้าหมาย 6.9 แสนล้านบาท หรือ 3.39% ของ GDP ในปี 2568
ท่ามกลางความท้าทายของประชากรสูงวัยที่จะพุ่งขึ้นเป็น 22.2% ในอาเซียนภายในปี 2593 และการเติบโตของตลาด MedTech ในเอเชีย-แปซิฟิกที่คาดการณ์จะทะลุ 121-140 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 งานนี้จึงถือเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก
มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมทางการแพทย์ MEDICAL FAIR THAILAND 2025 เตรียมกลับมาจัดอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 10–12 กันยายน 2568 นี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ โดยยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 ถือเป็นงานแสดงสินค้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมสุขภาพในภูมิภาคสู่เวทีโลก
คาดว่าภายในงานจะมีผู้ประกอบการร่วมกว่า 1,000 รายจาก 40 ประเทศทั่วโลก พร้อมด้วย 20 พาวิลเลียนจากประเทศไทยและนานาชาติ เข้าร่วมจัดแสดงบนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกมิติของวงการแพทย์ ตั้งแต่อุปกรณ์สำหรับโรงพยาบาล, การวินิจฉัย, เภสัชภัณฑ์ ไปจนถึงเวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมโซนไฮไลท์ที่น่าสนใจ
เช่น การจัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชันสำหรับการดูแลผู้สูงอายุและบริการสุขภาพชุมชน, เวทีสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมทางการแพทย์, โซนที่รวบรวมเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในวงการแพทย์ ตั้งแต่การผลิต, บรรจุภัณฑ์, การฆ่าเชื้อ ไปจนถึงวิศวกรรมความแม่นยำ เป็นต้น
ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UN ESCAP) สัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในกลุ่มประเทศอาเซียน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ภายในปี 2593 เป็นสัญญาณและแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุข และมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นการพัฒนาบริการดูแลผู้สูงอายุ และโซลูชันใหม่ๆ เพื่อการดูแลเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงจึงมีความสำคัญ
“งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังเป็นเวทีในการอัปเดตเทรนด์และองค์ความรู้ล่าสุดทางการแพทย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานสาธารณสุขของไทยและภูมิภาคต่อไป ตามความต้องการด้านการดูแลสุขภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อยู่ในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งคาดว่าประชากรในภูมิภาคนี้จะมีจำนวนเกิน 722 ล้านคนภายในปี 2573 เกิดการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุควบคู่กับการขยายตัวของชนชั้นกลาง ที่ต้องการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูงและเข้าถึงได้”
เมร.เกอร์นอท กล่าวว่า มสเซ่ ดุสเซดอร์ฟ เอเชีย ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม MedTech ในเอเชียที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจล่าสุดพบว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) มีสัดส่วนการใช้จ่ายด้าน MedTech คิดเป็นราว 30% ของตลาดโลก และคาดการณ์ว่าตลาดภายในปี 2568 จะมีมูลค่า 121-140 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ส่วนในอาเซียนที่มีประชากรกว่า 678 ล้านคน และมี GDP รวม 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 (เพิ่มขึ้นจาก 3.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2566) สะท้อนถึงปัจจัยจากความต้องการด้านการดูแลสุขภาพที่จะถูกขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของชนชั้นกลาง ซึ่งต้องการการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้น
นายอดุลย์ ขมิ้นเขียว ผู้อำนวยการกองวิศวกรรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันในแวดวงสุขภาพขขอองประเทศไทย มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก (Medical Hub) ซึ่งต้องขับเคลื่อนด้วย 2 พลังที่สำคัญยิ่ง พลังแรกคือ "นวัตกรรม" ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเทคโนโลยีการแพทย์ (MedTech), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าการดูแลสุขภาพไปอย่างสิ้นเชิง
พลังที่สองคือรากฐานที่ขาดไม่ได้ คือ "ความปลอดภัยและมาตรฐาน" เพราะนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดจะไร้ความหมาย หากปราศจากความไว้วางใจจากประชาชน โดยมาตรฐาน HS4 จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ระบบสาธารณสุขไทยมีศักยภาพแข่งขันในระดับสากล ด้วยการมุ่งเป้ายกระดับขีดความสามารถของสถานพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศ ให้ได้มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ HS4 (Health Standard Service Support System) ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และ 2559
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพโลก โดยที่มาตรฐาน HS4 จะครอบคลุมด้านสำคัญต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการ การบริการสุขภาพ มาตรฐานอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งรวมถึงด้านความปลอดภัยและคุณภาพของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย
“งาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมการแพทย์ MedTech HealthTech และ AI เพื่อต่อยอดการใช้งานจริงในโรงพยาบาล นำไปสู่การตอบโจทย์ของการบริการสุขภาพที่มีความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างยั่งยืน”
ด้าน นายจารุเดช คุณะดิลก ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ (MeDIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2568 นี้ แนวโน้มกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเข้ามารักษาในสถานพยาบาลของไทยเพิ่มขึ้น การสร้างโรงพยาบาลใหม่และการขยายพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติ ตลอดจนตลาดส่งออกเครื่องมือแพทย์กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองเติบโตมากขึ้น
ขณะที่ปี 2567 ประเทศไทยส่งออกเครื่องมือแพทย์ 133,393 ล้านบาท และนำเข้าที่ 96,937 ล้านบาท สำหรับรายงานล่าสุดในปีนี้ พบว่าในเดือนม.ค.-เม.ย.2568 ส่งออกเครื่องมือแพทย์ 42,695 ล้านบาท และนำเข้าที่ 31,477 ล้านบาท
ดังนั้นทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงตระหนักถึงความสำคัญของการอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ก้าวเข้าสู่อุตสาหกกรรมเป้าหมายใหม่หรือ New S-Curve เร่งพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP จากการผลิต การจ้างงาน การลงทุน และทดแทนการนำเข้าประเภทเครื่องมือแพทย์
“กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ (MeDIC) เดินหน้าในการสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม เชื่อมโยงผู้ผลิตด้านดิจิทัลเฮลท์ สถาบันวิจัย ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้ประกอบการ นักลงทุน เพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และนวัตกรรมสุขภาพไทย ซึ่งตอบรับยุทธศาสตร์ของรัฐในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ปี 2568-2577”
ดังนั้น ภาครัฐจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในทุกมิติ ทั้งด้านการผลิต การพัฒนามาตรฐาน การวิจัยและนวัตกรรม การส่งเสริมการใช้สินค้าเครื่องมือแพทย์ในประเทศ ซึ่งจะช่วยผลักดันอีโคซิสเต็มสุขภาพของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในปีนี้ MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะเป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมต่อกับพันธมิตรระดับโลก ยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือและนวัตกรรมแพทย์ไทย ให้เติบโตและแข่งขันได้ในนานาชาติ
ขณะที่ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ในปีนี้คาดการณ์ว่าธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยจะมีกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น 7.6% โดยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ การทรานส์ฟอร์มนวัตกรรมการแพทย์ที่มาอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของประชากรสูงวัย รวมถึงโรคอุบัติใหม่
ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้โรงพยาบาลเอกชนต้องปรับกลยุทธ์และยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย ประสบการณ์บริการให้ได้มาตรฐานสากล สอดรับกับนโยบายของรัฐ ที่ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) จำนวน 690,000 ล้านบาทในปี 2568 ซึ่งคิดเป็น 3.39% ของ GDP ประเทศไทย
การส่งเสริมการลงทุนและการนำนวัตกรรมการแพทย์แบรนด์ไทยมาใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญและควรเร่งผลักดัน เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษา และขยายโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนลดการพึ่งพานำเข้าของนวัตกรรม อุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบสาธารณสุขไทยต่อไป