โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เคาะระฆัง เริ่มต้น ภาษีการค้า 19% ไทยปีนกำแพงนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ตั้งรับเสรีสินค้าอเมริกัน

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เคาะระฆัง เริ่มแล้ว ภาษีการค้า 19% ไทยปีนกำแพงนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ตั้งรับเสรีสินค้าอเมริกัน

"ภาษีทรัมป์ " 19% จุดเปลี่ยนประเทศไทย

19% คือ ตัวเลขภาษีที่ประเทศไทยโดนเรียกเก็บจากทางสหรัฐอเมริกา มีผลนับตั้งแต่ 7 สิงหาคม 2568 นี้เป็นต้นไป เป็นการปรับลดลงจากการประกาศครั้งแรกที่ 36% เป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือเกาะกลุ่มในอาเซียน ซึ่งจะมาพร้อมกับการยอมเปิดตลาดเสรีให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ ด้วย

"ภาษีทรัมป์" เขย่าโลก เริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการแล้ว รอบนี้เป็นการจับตาที่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีผลบังคับใช้ หลังจากที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการดิ้นรนต่อรองลดภาษี ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ครั้งแรกในวันปลดปล่อยเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าไปยังประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่สหรัฐฯขาดดุลการค้า และปรากฎว่าไทยเราติดอันดับท็อป 10 ประเทศที่เกินดุล ดังนั้นจึงโดนเรียกเก็บอัตราภาษีในระดับ 36 % ซึ่งอยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับกลุ่มของชาติอาเซียน

ทีมไทยแลนด์ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้พยายามเจรจาการค้าผ่านข้อเสนอต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายที่เข้ามาแทรก คือ การปะทะกันในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา จนกระทั่งมีการตกลงหยุดยิงจากทั้งสองฝ่าย ไทยและสหรัฐฯจึงได้กลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาภาษีอีกครั้ง และผลออกมาก็คือ ประเทศไทยปิดดีลได้สำเร็จได้ลดภาษีเหลือที่ 19% จากเดิม 36% ในการประกาศครั้งล่าสุด (1 สิงหาคม 2568)

แต่อย่างไรก็ตามเงื่อนไขสำคัญ ที่ไทยเราต้องจับตาและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ก็คือ สินค้าสวมสิทธิ์ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ได้ย้ำชัดเจนว่าไม่ยอมรับในเรื่องนี้ และจะเรียกเก็บภาษีสูงถึง 40% กรณีพบว่าประเทศใดกลายเป็นแหล่งสวมสิทธิ์ (Transshipment) ถ่ายโอนสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจะมีบทลงโทษอื่นเพิ่มเติมตามอีกด้วย

เรียงลำดับภาษีในกลุ่มอาเซียน ไทยเราถือว่าอยู่ในกลุ่มหัวแถว เป็นรองเพียงแค่สิงคโปร์ที่ถูกเรียกเก็บแค่ 10% ตั้งแต่แรกและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ขาดดุลการค้ากับทางสหรัฐฯ

จัดเรียงตามลำดับภาษีทรัมป์ ในกลุ่มชาติอาเซียน จะพบว่าประเทศไทยมีอัตราภาษีในระดับที่ไม่แตกต่างจากชาติอื่นๆ และอยู่ในกลุ่มหัวแถว คือ ไทยถูกเรียก อัตราภาษี 19 % เท่ากับ กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่สำคัญคือไทยได้อ้ตราภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนาม คู่แข่งรายสำคัญ ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีที่ 20%, ตามมาด้วยบรูไน ที่ 25% โดยมีเมียนมาและลาว ที่โดนหนักที่สุดในกลุ่ม อยู่อันดับท้ายสุดของตาราง จากการโดนเรียกเก็บภาษีมากถึง 40% ขณะที่ประเทศที่ถูกเรียบเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำที่สุดในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ คือ 10% ซึ่งเป็นอัตราภาษีดั้งเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่การประกาศครั้งแรกในวันปลดปล่อยเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

"ดีลภาษีไทย-สหรัฐฯ" ยอมแลก 4 ด้าน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาของไทย หรือ "ทีมไทยแลนด์" เปิดเผยรายละเอียดการดีลภาษีครั้งนี้ ว่ามีข้อตกลงหลักๆ ทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่

1. อัตราภาษีนำเข้า : เปิดตลาดนำเข้าภาษี 0% ให้กับสหรัฐฯ ด้วยสินค้าที่ไทยมีความพร้อม คือ กลุ่มของสินค้าที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้า FTA กับประเทศอื่นอยู่แล้ว และกลุ่มที่ไทยผลิตและใช้เองในประเทศไม่พอ ทั้งนี้บางรายการจะไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันที โดยได้มีการขอเวลา 3-5 ปีก่อนจะเป็น 0%

2. นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ : ที่ผ่านมาไทยมีการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากนี้จะนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และเป็นการนำเข้าเพื่อแปรรูปและส่งออก

- นำเข้าเครื่องบินจากสหรัฐฯ โดยการบินไทยได้มีแผนการซื้ออยู่แล้ว จะนำเข้ามาเพิ่มอีก 80-90 ลำภายใน 10 ปี

- นำเข้าพลังงาน ไทยมีความต้องการใช้นำมันดิบอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จะนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 10% จากที่ซื้อจากทั่วโลก สัญญาแรกจะเริ่มในปี 2569

- ภาคการเกษตร เช่น หมูจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ ไม่ถึง 1% ของการบริโภคทั้งหมดในประเทศ ไม่รวมเครื่องในสัตว์ พร้อมตรวจสารเร่งเนื้อแดง

3. เข้าลงทุนไทยสหรัฐฯ : จะพิจารณาลงทุนในกลุ่มที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ เช่น เกษตรแปรรูป และพลังงาน

4. ข้อตกลงการค้าที่ไม่ใช่ภาษี : แก้กฎระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการนำเข้าส่งออกมากขึ้น สัดส่วนมูลค่าเพิ่มภายในภูมิภาค (Regional Value Content) หรือ สัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ ( Local Content ) ยังไม่มีความชัดเจนต้องเจรจากันต่อ

ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เตรียมพร้อมมาตรการรองรับผลกระทบ มีงบประมาณในการช่วยผู้ประกอบการ ยึดหลักทำให้เกิดการจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่สำคัญ คือ หลังจากนี้ไป คือ จุดเปลี่ยนของประเทศไทย ที่เราจะต้องมีการปรับตัว ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ นายพิชัยกล่าวว่า ผลการเจรจาครั้งนี้เป็นสัญญาณให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในอนาคต ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้นทุนสินค้าไทยถูกลง ส่งออกไปแข่งขันในต่างประเทศได้ ต้องผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด และมีมูลค่าสูง (value added) ช่วยสร้างงานในประเทศ รวมถึงทรานส์ฟอร์ม (Transform) ธุรกิจ SME ผลักดันให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนในโครงสร้างการผลิตใหม่

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" มองสินค้าสหรัฐฯ ไม่สามารถทะลักเข้าไทยง่ายอย่างที่กังวล

มุมมองจากเอกชนภาคธุรกิจ ต่างก็เชื่อมั่นว่า ไทยโดนภาษีทรัมป์ 19% เป็นระดับที่แข่งขันได้ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าสินค้าจากสหรัฐฯจะไม่ทะลักเข้ามากมายอย่างที่หลายคนกังวลนัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยหรือ K Reserch เปิดเผยว่า ภาษี 19% ส่งผลให้ในภาพรวมสินค้าส่งออกไทยยังคงความสามารถทางการแข่งขันได้ ขณะที่ภาพการค้าโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลง รวมถึงหลายประเทศได้รับอัตราภาษีฯ ที่ลดลงกว่าที่ประกาศไว้ในเดือนเมษายน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อการส่งออกไทยอีกทางหนึ่ง

ประเด็นสำคัญที่หลายคนจับตาและเป็นห่วง คือ การแลกดีล ที่ไทยต้องยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ นับหมื่นรายการหรือกว่า 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น

เรื่องนี้ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล เนื่องจาก

• สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีอัตราภาษี MFN เป็น 0% อยู่แต่เดิม

• สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้ง ขึ้นอยู่กับความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุนของสินค้าสหรัฐฯ ในแต่ละอุตสาหกรรม

• สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลายรายการอาจมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากตลาดอื่นโดยเฉพาะตลาดที่ไทยมี FTA อยู่แต่เดิม

อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ คาดว่าจะกระทบเกษตรกรรายย่อย และในบางกรณีจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อในระยะถัดไป ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความชัดเจนของการเปิดตลาดสินค้าเกษตรในรายละเอียด รวมถึงมาตรการเยียวยาจากภาครัฐต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

ฝนมรสุมถล่ม "ปากีสถาน" น้ำท่วมใหญ่คร่าชีวิตกว่า 300 คน

23 นาทีที่แล้ว

มาวางแผนคุ้มครองรายได้กันเถอะ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

23 นาทีที่แล้ว

YLG เผยทองเตรียมพุ่ง ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง

35 นาทีที่แล้ว

"พิชัย" สั่งจี้รายอุตสาหกรรม สรุปผลกระทบภาษีทรัมป์ หาแนวทางช่วยเหลือตรงจุด ย้ำไทยต้องปรับตัวระยะยาว

36 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ข้อมูลซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล วันที่ 8 ส.ค.68

สยามรัฐ

“นายกฯ อินเดีย” ยืนยันไม่แลกผลประโยชน์เกษตรกร แม้ต้องจ่ายหนัก หลังสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า 50%

การเงินธนาคาร

ไมเนอร์ ฟู้ด รุกโมเดลแฟรนไชส์ ดันแบรนด์ในเครือสู่ระดับโลก

PostToday

SET Index ทดสอบ PE 14 เท่า จับตาผลประกอบการ-เศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอ นักลงทุนระวังเทคนิคอล

สยามรัฐ

การบินไทย โชว์กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 12 ล้านบาท หลังกลับเข้าตลาดหุ้น

MATICHON ONLINE

“ทรัมป์” กดดัน Apple ให้ผลิต iPhone ในสหรัฐ “ทิม คุก” ประกาศลงทุน 6 แสนล้านดอลลาร์

การเงินธนาคาร

ไข่ไก่-กุ้ง ล้นตลาด ! กรมการค้าภายใน เร่งเชื่อมโยงผลผลิต สกัดราคาตก

Khaosod

ปิดฉาก‘เลอโนท’ โรงเรียนสอนประกอบอาหารฝรั่งเศสในไทย ‘บางกอกแลนด์’ บอกเลิกสัญญา

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. 2568 ลดต่อเนื่อง กังวลภาษีทรัมป์ ชายแดนไทย-กัมพูชา

TNN ช่อง16

"คลัง-พาณิชย์" จับมือ ดันทรัพย์สินทางปัญญาไทย หวังหลุดบัญชี "Watch Litst" สหรัฐฯ

TNN ช่อง16

"อินเดีย" อ่วม ทรัมป์ขึ้นภาษีอีกรอบ พุ่งแตะ 50% ตอบโต้ยังซื้อน้ำมันรัสเซีย ชี้หนุนสงครามยูเครน

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...