เอกชนชินการเมืองไทย อลวน จับตาคดีคลิปเสียง ‘แพทองธาร’ ออกหัว-ก้อย
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า ในกรณีของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะอยู่หรือไม่นั้น ภาคเอกชนมองว่า เรื่องของเศรษฐกิจไทยกับการเมือง มีลักษณะแยกขาดจากกัน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเจอปัญหาทางการเมืองมาตลอด ถือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะของประเทศไทยที่ไม่เหมือนชาติอื่น
“การเมืองไทยมีความวุ่นวายมานานนับทศวรรษ ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้ภาคเอกชนและต่างชาติคุ้นเคยกับความไม่แน่นอนนี้ ไม่ว่าการถอดถอนนายกฯ หรือรัฐประหารไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ โดยการเมืองไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นเหตุการณ์ปิดสนามบินเพียงครั้งเดียวที่กระทบ ดังนั้น ไม่ว่าการเมืองจะมาในรูปแบบใด กลุ่มทุนและนักลงทุนก็สามารถ ปรับตัวเข้าหากันได้ดี และต่างชาติก็เข้าใจภาพการเมืองไทยเช่นนี้” ดร.ธนิต ระบุ
ดร.ธนิต มองว่า ประเด็นปัญหาด้านการเมืองหากเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะยาว แต่กรณีของนายกฯ แพทองธาร นั้น ส่วนตัวมองว่า น่าจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง เพราะนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นรายใหญ่ คุ้นเคยกับสถานการณ์การเมืองไทยอยู่แล้ว และการลงทุนที่ปักหลักไปแล้วจะไม่ถอดกิจการ เพราะปัจจัยทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเดียว
“ส่วนตัวมองว่าไม่น่ามีผลต่อเศรษฐกิจ แต่อาจกระทบกับความเชื่อมั่นบ้าง ภายใต้ความไม่แน่นอนอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็ปรับตัว และตอนนี้โฟกัสไปที่เรื่องภาษีสหรัฐฯ เป็นเรื่องแรก แถมส่วนใหญ่ก็มองว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาจะมุ่งไปที่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของทุกรัฐบาล แต่ตอนนี้ก็ต้องอดใจดูว่ากรณีนายกฯ จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ก็อาจมีความเปลี่ยนแปลง และต้องดูไปถึงวันที่ 9 ก.ย.ด้วย” ดร.ธนิต กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งหลัง ดร.ธนิต ประเมินว่ายังคงเดินไปต่อได้ เห็นได้จากการส่งออก ล่าสุดในช่วง 7 เดือนของปีนี้ยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ เพราะก็ยังเห็นสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่องถึงเดือนสิงหาคม จะมีแค่การส่งออกไปกัมพูชาที่กระทบเท่านั้น
ส่วนการท่องเที่ยว อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่ 33 ล้านคน และอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนบ้าง ขณะที่การบริโภคในประเทศ มองว่า การบริโภคยังขยายตัวต่อ เพราะคนชั้นกลางยังคงใช้จ่ายปกติ ตราบใดที่ยังได้รับเงินเดือนปกติ แม้ว่าแนวโน้มจะลดลง แต่เชื่อว่า ลดลงแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้ในประเด็นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น ดร. ธนิต มองว่า น่าจะถูกเก็บเข้าลิ้นชักไปแล้ว เนื่องจากผู้ผลักดันหลักไม่อยู่ในตำแหน่งเดิม แต่คาดว่าจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีการยุบสภาและเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่หากรัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงอยู่ ค่าแรงน่าจะไม่ใช่ประเด็นหลัก