'แก้วสรร' ปลุกพี่น้องลูกศิษย์ในองค์กรอิสระ ดำเนินการปมชั้น 14
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยในช่วงค่ำ โค้งสุดท้ายก่อนยุติการชุมนุมในเวลา 21.00 น. มีแกนนำสลับกันขึ้นปราศรัย โดยนายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า หลายคนถามว่าตอนจบจะเป็นอย่างไรอะไรคือเป้าหมายของการมาอยู่ตรงนี้ ที่เห็นผลได้ ที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พูดก็โอเค ไม่เกิน 3 เดือน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ "เอาพ่อติดคุก เอาลูกออกไป"
นายแก้วสรร กล่าวว่า ถ้า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกพรุ่งนี้ แต่พ่อยังอยู่ ยังมีนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ก็จะไปไหนไม่ได้ สิ่งที่อุบาทว์และเป็นเช่นนี้มาตลอด ก็คืออำนาจ และความรับผิดชอบอยู่กับ นางสาวแพทองธาร ตามตำแหน่งแต่ น.ส.แพทองธาร มีแต่ความรับผิดชอบ ไม่มีอำนาจ ปัญหามันอยู่ตรงนี้
"ถ้าอยู่ดี ๆ พ่อที่มีอำนาจทุกอย่าง แต่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ กฎหมายห้ามไว้ จึงขอให้ลูกเป็นนายกรัฐมนตรี ลูกคนนี้ก็ไม่มีความคิดอ่าน ชอบแต่งตัว ชอบ Soft Power จนตอนนี้ Soft Power กลายเป็น Soft Brain ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร แต่ก็ยอมเป็น" นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรร เปรียบเทียบว่า อยากให้ลูกเป็นนายกรัฐมนตรีแบบสโนไวท์ เมื่อถึงเวลาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีคนแคระมายืนด้วยตอนแถลงข่าว บ้านเมืองก็กลายเป็นลิเก ละคร และเมื่อมีปัญหาชายแดนไทย -กัมพูชา คนเราอาจมีความรับผิดชอบ จะนอนไม่หลับ คิดว่าจะทำอย่างไรดี และเร่งสั่งการ นั่นคือนายกรัฐมนตรีที่เราต้องการ แต่บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้ สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ทีหนึ่งแล้ว มีความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจ พี่สั่งก็ทำหมด แล้วก็เอาคนแคระออกไปช่วย
"ดังนั้น นอกจากลูกออกไปแล้ว พ่อต้องติดคุกด้วย จุดจบของระบอบทักษิณต้องมาถึง" นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรร ฝากถึงเพื่อนพี่น้องลูกศิษย์ทั้งที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พยานหลักฐานชัดเจนหมดแล้วเรื่องชั้น 14 ปล่อยให้คดีชั้น 14 อยู่เป็นปี ไม่ทำอะไร การกระทำของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าข่ายครอบงำพรรคชัด ๆ กกต. ไม่ทำอะไร จึงขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่าคิดว่าเมื่อตัดสินไปแล้วจะถูกหาว่าอยู่ข้างนั้นข้างนี้
- 'ปานเทพ' เปิด 5 ข้อดักคอ 'รัฐบาลใหม่' ห้ามมีผลประโยชน์ทับซ้อนกัมพูชา
ต่อมา เมื่อเวลา 18.45 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขึ้นกล่าวปราศรัยในการชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยตอนหนึ่งว่า รัฐบาลบอกว่า พวกเราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี แต่วันนี้ประชาชนไม่มีกินไม่มีใช้ เหลือแต่ตัวเขียด และสังกะสี โดยนายปานเทพได้เล่าย้อนเหตุการณ์ที่ไทยเคยเสียดินแดนในอดีตทั้งสิ้น 14 ครั้ง พร้อมกล่าวว่า ศักดิ์ศรีของคนในประเทศไทยยามวิกฤตเช่นนี้ ในอดีตสยามเคยมีดินแดนที่ยิ่งใหญ่ แต่เราสูญเสียดินแดนมามากมาย ดินแดนที่เสียไปในอดีตมากกว่าดินแดนที่เราเหลืออยู่ ดังนั้นเราจะถอยไม่ได้อีกแล้ว มรดกที่พระมหากษัตริย์ และบรรพบุรุษแลกมา เราจะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า กรณีเอ็มโอยู2544 มีการขีดเส้นใหม่ของทางกัมพูชา ลากเส้นประชิดเกาะกูด จ.ตราด ทะลุอ้อมเกาะกูดแล้วทะลุลงไปลุกล้ำทะเลภายในเขตต่อเนื่องของไทย เท่ากับว่ารุกล้ำแผ่นดินไทย ยอมรับไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บนฐานของการคิดคำนวณของเส้นมัธยะต่างกัน เป็นการคิดเอาเปรียบประเทศไทย มีการแบ่งผลประโยชน์กันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ไทยจะได้รับผลประโยชน์น้อยมาก เพราะเต็มไปด้วยผู้รับสัมปทานต่างชาติที่เป็นประเทศมหาอำนาจมาหักหัวคิวไป นี่เป็นดีลพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ได้เคยลงนามร่วมกันในเอ็มโอยู 44 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในขณะนั้น
“วันนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพ่อนายกฯ ถูกจับเป็นตัวประกันโดยฮุนเซน กำความลับและผลประโยชน์จำนวนมาก ท่านไม่เหมาะเป็นนายกฯแล้ว ดังนั้นผมขอเรียกร้องว่า 1.ต่อให้ใครมาเป็นรัฐบาลต่อจากนี้ จะต้องเป็นรัฐบาลที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกัมพูชาอีก 2.พรรคร่วมรัฐบาลต้องถอนตัวทันที 3.ยกเลิกเอ็มโอยู2543 ยกเลิกแผนที่อัตราส่วน1:200,000 4.ยกเลิกเอ็มโอยู44 ยึดกฎหมายทะเลสากลในการแบ่งพื้นที่ทางทะเลตามพระบรมราชโองการ และ5.ปิดด่านตัดสาธารณูปโภคของกัมพูชาที่ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกาสิโนให้ได้ เหมือนที่เคยทำกับพม่า“ นายปานเทพ กล่าว