ใจแลกใจ ‘ผบ.เหล่าทัพ’

อุ้ย!!! เก็บตกควันหลง การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วของ นายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจราชการและติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งด่านปอยเปต เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในไลน์กลุ่มตำรวจได้มีการส่งต่อบันทึกข้อความฉบับหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าเป็นฉบับจริงที่พลั้งเผลอ หรือฉบับเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไข พอรู้ พอเห็นก็แก้ ก็เปลี่ยนใหม่ไปแล้ว โดยบันทึกข้อความลงว่า ส่วนราชการ ภ.จว.สระแก้ว ที่ 0017.(สก)(10)13/3087 เรื่อง มอบหมายภารกิจปฏิบัติหน้าที่พลขับ การรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เนื้อหา

เป็นรายชื่อพลขับรถยนต์ในขบวน และให้ผู้มีรายชื่อไปซักซ้อมขบวนในวันพุธที่ 25 มิ.ย. 2568 ลงนามโดย รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ปรท.ผบก.ภ.จว.สระแก้ว แต่สิ่งที่เห็นแล้วต้องรอง อุ้ย! ก็ตรงวัตถุประสงค์ที่จัดพลขับในการรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรครั้งนี้ มีบางคำที่ดูหมิ่นเหม่ ที่ดูไม่น่าใช้กับการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านจราจรให้แก่คณะครั้งนี้ เพราะทั้งขบวนอยู่คนละสถานะกับคำที่ปรากฏในบันทึกข้อความดังกล่าว ไม่รู้ว่า พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ได้เห็นบันทึกข้อความดังกล่าวบ้างหรือยัง ถ้าเห็นแล้วก็น่าจะออกมาทำความเข้าใจให้สังคมรับรู้ รับทราบ ว่าเป็นบันทึกของ ภ.จว.สระแก้วจริงหรือไม่ หรือเป็นบันทึกที่ยังไม่แก้ไข หรือเป็นบันทึกที่พลั้งเผลอแล้วได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว ทุกอย่างจะได้กระจ่าง คนที่เอาไปมุบมิบในวงสนทนาจะได้เลิกเมาธ์ ๐

ดูท่าโอกาส 2 หมอโรงพยาบาลตำรวจ ที่ถูกแพทยสภา มีมติลงโทษความผิดทางจริยธรรม ปมชั้น 14 จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในโผแต่งตั้ง “นายพล” วาระประจำปี 2568 ที่จะมีขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ต้อง “ลุ้นเหนื่อย” แม้จะได้สิทธิ์เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นแบบออโต เพราะ บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ส่งสัญญาณให้เริ่มขบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำเนินการทางวินัยตำรวจ ถึง บิ๊กหวาน-พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการจะยังบอกหนังสือคำสั่งยังไม่ถึงมือ แต่ก็ยืนยันทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่หนักใจทุกอย่างต้องยืนอยู่บนพยานหลักฐาน นั่นก็พอจะบ่งบอกอนาคต 2 หมอตำรวจบนเส้นทางสีกากี เพราะมติแพทยสภาชัดเจนถึง 2 ขั้น 2 ตอน ตั้งแต่การลงมติลงโทษรอบแรก และการลงมติรอบสอง หลังจาก “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ใช้สิทธิ์วีโตไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่มติแพทยสภาก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นก็ตอกย้ำ “หลักฐาน” ความผิดชัด ที่ดูแลคณะกรรมการชุด “บิ๊กหวาน” หาทางลง หาทางเลี่ยง ไปแบบอื่นไม่ได้ โผแต่งตั้ง “นายพล” รอบนี้ เลยต้องหรี่ตาไปมองลำดับรองลงมา ใครจะถูกหวยได้เสียบแทน ๐

เป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะทำให้ “ตำรวจ” ได้เรียนรู้และพัฒนาการทำงานให้ทันยุคทันสมัย โครงการ “อบรมการใช้ AI เพื่อพัฒนางานสอบสวน รุ่นที่ 3” ซึ่งจะเป็นรุ่นสุดท้ายในโครงการยกระดับงานสอบสวนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการ แต่ถ้าส่องไปที่เนื้อหาในการอบรม ทั้งการถ่ายทอดความรู้จาก ดร.สุขยืน เทพทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยเน้นการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ตั้งแต่ระบบช่วยวิเคราะห์หลักฐาน จัดเรียงเอกสารอัตโนมัติ ไปจนถึงการลดข้อผิดพลาดในการเขียนสำนวน โครงการนี้มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ลดภาระงานซ้ำซ้อน ของพนักงานสอบสวน ด้วยการใช้ระบบอัจฉริยะมาช่วยจัดการข้อมูล เพิ่มความแม่นยำของสำนวนคดี ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI และเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมในกระบวนการยุติธรรม ให้เท่าทันโลกยุคดิจิทัล เชื่อว่า “ตำรวจ” ที่เข้าอบรม ทั้งพนักงานสอบสวนจากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา น่าจะได้ความรู้นำไปพัฒนางานสอบสวน เพราะ บิ๊กแรก-พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 บอกเมื่อได้รับการเรียนรู้ พนักงานสอบสวนจะได้ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์คดี แปลผลข้อมูล และจัดการเอกสารสำนวน ซึ่งเป็นจุดที่มักใช้เวลานานในระบบสอบสวนแบบเดิม ต้องถือว่าคุ้มค่ากับงบประมาณที่ต้องจ่ายไป และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า เรียกว่าถ้าทำได้จริงไม่เสียของ ๐

ประชุมสภากลาโหมสัญจร ในยุคของ "ภูมิธรรม เวชยชัย" รมว.กลาโหม นั่งเป็นประธาน ได้ทำการเยือนกองบัญชาการเหล่าต่างๆ ครบจบหนึ่งรอบพอดีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นคิวของการใช้พื้นที่ของกองบัญชาการกองทัพอากาศ ตึกแปดแฉก ดอนเมือง โดยมี พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.เป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับ ซึ่งวาระเป็นการถกแผนเผชิญเหตุสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่ยังต้องเฝ้าระวัง คาดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของ “ภูมิธรรม” ในการเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเหล่าทัพ เพราะตามการนำเสนอข่าวที่ผ่านมา มีกระแสว่าต้องข้ามคลองหลอดไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตาม “โผ ครม.” อิ๊งค์ 1/1 บรรยากาศในที่ประชุมจึงเหมือนจะเป็นการอำลาล่วงหน้า ขอบคุณการทำงานร่วมกันมาร่วม 9 เดือน แต่ในฐานะที่ยังรั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง จึงไม่ได้ตัดขาด ผบ.เหล่าทัพชุดนี้อยู่ แต่อาจเป็นการพบกันในสถานการณ์ใหม่ และหมวกใบใหม่ของ “ภูมิธรรม” ที่น่าจะมีอำนาจมากกว่าเดิม ๐

เพราะหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง "แพทองธาร ชินวัตร” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คนที่รักษาการเก้าอี้นายกฯ คงไม่พ้น “ภูมิธรรม” อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้อำนาจในมือของเขามากขึ้นตามสถานการณ์ นำไปสู่การวิเคราะห์ว่าเหตุผลที่ “ภูมิธรรม” ต้องเรียก ผบ.เหล่าทัพไปคุยคนละ 15 นาที ที่ห้องรับรองในตึกแปดแฉก หลังการประชุมสภากลาโหม นอกจากดูท่าทีและน้ำเสียงของ ผบ.เหล่าทัพ ตั้งแต่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร., พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.แล้ว ยังเป็นสถานการณ์ของ “ใจแลกใจ” ว่ากันด้วยโปรเจกต์ที่ยังค้างท่อ อันไหนเดินหน้าได้ด้วยอำนาจ รมว.กลาโหม พร้อมไฟเขียวผ่านตลอด ส่วนโครงการที่ต้องรอขั้นตอนก็ประกาศพร้อมสนับสนุน แต่เจ้าตัวยังเกิดอาการเหนียมเมื่อสื่อถามถึงเรื่องการเซ็นทิ้งทวน รับประกันสัญญาใจกันแบบ “เลือดทหาร” กันไว้ก่อน พร้อมย้อนถามสื่อกลับว่า "ใช้คำว่าทิ้งทวนเลยเหรอ?" ก่อนจะตอบคำถามอื่นต่อไป ๐

เป็นอีกหนึ่งรหัสการฝึกที่กองทัพบกส่งกำลังพลเข้าร่วม นั่นก็คือ Flash Thunder 25 ณ Special Operations Tactics Support Center (SOTSC) ที่ Pasir Ris Camp สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่าง 21-29 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นการฝึกร่วมฝึกผสมระหว่าง ทบ.ไทย กับ ทบ.สิงคโปร์ โดย ทบ.จัดกำลังพลจากหน่วยกองพลรบพิเศษที่ 1 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จำนวน 60 นาย ทำการฝึกร่วมกับหน่วย SAF Commando กองทัพบกสิงคโปร์ จำนวน 125 นาย ประกอบด้วยการฝึกอาวุธศึกษาของหน่วยคอมมานโด, การใช้ยุทโธปกรณ์พิเศษ, การใช้อุปกรณ์ในการระเบิดทำลาย, การยิงปืนด้วยกระสุนจริงในอาคารรบประชิด, การรบในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง, การฝึกการส่งลงทั้งการลงเชือกเร่งด่วนและการลงทางดิ่ง การฝึกภาคสนาม และการกระโดดร่มมิตรภาพเพื่อกระชับความสัมพันธ์ร่วมกัน.