EU ลั่นพร้อมสู้! ขึ้นภาษี 30% ตอบโต้ทรัมป์ หากดีลล่มก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.
สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับสหภาพยุโรป (EU) กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีสินค้าส่งออกจาก EU สูงถึง 30% โดยให้เส้นตายไว้จนถึงวันที่ 1 สิงหาคมนี้ หากการเจรจายังไม่คืบหน้า ทำให้สหภาพยุโรปต้องเตรียมมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงไม่แพ้กัน และอาจลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
รายงานจาก Bloomberg และ Financial Times ระบุว่า สหภาพยุโรปเตรียมเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 30% กับสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่าประมาณ 117,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 100,000 ล้านยูโร หากไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้นภายในเส้นตายดังกล่าว โดยจะผนวกรายการสินค้าที่ได้รับการอนุมัติแล้วมูลค่า 24,570 ล้านดอลลาร์ (21,000 ล้านยูโร) เข้ากับรายการสินค้ารอบใหม่อีก 84,400 ล้านดอลลาร์ (72,000 ล้านยูโร) เป็นแพ็กเกจเดียว เพื่อให้พร้อมบังคับใช้ทันที
สินค้าอเมริกันที่จะโดนผลกระทบจากมาตรการนี้มีทั้งเครื่องบินจาก Boeing รถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ และเหล้าวิสกี้บูร์บอง ซึ่งล้วนเป็นสินค้าสำคัญจากรัฐที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ถือเป็นการจงใจเจาะจุดอ่อนทางการเมืองของทรัมป์อย่างชัดเจน
จุดเริ่มต้นของความตึงเครียดนี้มาจากการที่รัฐบาลทรัมป์กลับมาใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือกดดันทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปี 2025 โดยได้เก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และขยายวงไปยังจีน สหภาพยุโรป และชาติพันธมิตรอื่นๆ ครอบคลุมตั้งแต่เหล็ก อะลูมิเนียม ไปจนถึงรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีอัตราสูงสุดถึง 30% ในบางกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก และกำหนดภาษีเฉพาะกับสินค้าจาก EU สูงถึง 20% และขู่ว่าจะเพิ่มเป็น 30% ภายในวันที่ 1 สิงหาคม หากไม่สามารถตกลงกันได้
ล่าสุด รัฐบาล EU นำโดยเยอรมนีและฝรั่งเศส ได้เดินเกมรุก เตรียมใช้กลไก "Anti-Coercion Instrument (ACI)" ซึ่งเปรียบเสมือนอาวุธทางการค้าหนักหน่วงที่สุดของกลุ่ม โดยมีอำนาจสั่งห้ามบริษัทอเมริกันเข้าร่วมประมูลภาครัฐในยุโรป ยกเลิกการคุ้มครองสิทธิบัตร และจำกัดการนำเข้า-ส่งออกกับบริษัทสหรัฐฯ
แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงเปิดโต๊ะเจรจาอย่างต่อเนื่อง โดยมีข่าวว่ากำลังใกล้บรรลุข้อตกลงภาษีใหม่ที่อัตรา 15% ซึ่งจะใช้กับสินค้าจากทั้งสองฝ่าย เป็นการยึดตามข้อตกลงล่าสุดที่สหรัฐฯ ทำไว้กับญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอาจจำใจยอมรับข้อตกลงนี้ แม้จะไม่เต็มใจนัก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าสถานการณ์ยังไม่แน่นอนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ฟากยุโรปเองก็เริ่มมีแรงกดดันจากภาคธุรกิจมากขึ้น เช่น บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า Husqvarna ของสวีเดนเริ่มปรับโครงสร้างซัพพลายเชน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากต้นทุนภาษีที่จะพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ Deutsche Bank รายงานว่า บริษัทสหรัฐฯ ต้องแบกรับต้นทุนภาษีส่วนใหญ่ไว้เอง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาสินค้าผู้บริโภคในช่วงปลายปี
ด้านการเมืองในยุโรปก็เริ่มร้อนแรงเช่นกัน ผู้นำหลายชาติ เช่นอูร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ โดนัลด์ ทัสก์ ต่างเรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวกันและความพร้อมในการตอบโต้ ขณะที่บางประเทศเริ่มมีท่าทีประนีประนอม โดยพิจารณาลดภาษีรถยนต์เพื่อลดแรงปะทะ