วันชนวัน: วิกฤตชีวิตที่ ‘คนหาเช้ากินค่ำ’ กลางเมืองหลวงต้องเผชิญ
กรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหลและเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า คอนโดหลักล้าน และร้านอาหารจานละหลายพัน พื้นที่แห่งโอกาส
แต่ในเมืองเดียวกันนี้กลับมีอีกหลายชีวิตที่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางการเงิน และต้องใช้ชีวิตแบบ ‘วันชนวัน’ เพราะความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญในทุกเช้า คือ การหารายได้ให้เพียงพอสำหรับค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
บางคนเคยเป็นชาวนาที่หันมาเป็นแรงงานในเมืองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า บ้างคือเสบียงสำคัญที่คอยเติมพลังให้คนขับรถเมล์หรือคนขับรถรับจ้าง หลายคนเป็นเสาหลักที่ต้องหาเงินส่งลูกหลานเรียนหนังสือ และอีกหลายคนต้องเดินส่งดอกไม้หลายสิบรอบ
The MATTER ชวนรู้จัก 7 ชีวิต ‘คนหาเช้ากินค่ำ’ ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร และกำลังเผชิญปัญหาอะไรท่ามกลางเมืองหลวงแห่งนี้
‘ลุงประยูร’ ไก่ทอดเสียบไม้ ผู้อยู่มาตั้งแต่สมัยหัวลำโพงคึกครื้น
กลางแดดที่ร้อนระอุของเที่ยงวันหนึ่ง บริเวณตรงข้าม ‘หัวลำโพง’ อดีตศูนย์กลางการคมนาคมและการขนส่งของประเทศที่เคยมีผู้คนผ่านไปมาอย่างคึกคัก ร้านรถเข็นขายไส้กรอกและไก่ทอดที่มีร่มสีเหลืองคันใหญ่เป็นจุดดึงสายตา ชายสูงวัยนั่งบนเก้าอี้พลาสติกทอดมองถนนที่มีรถผ่านไปมา
“ค้าขายช่วงนี้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ทุกอย่างเงียบลงหลังหัวลำโพงย้ายไป” ลุงประยูร กล่าว
ลุงประยูร พ่อค้าขายไก่ทอด อายุ 62 ปี เล่าว่า เขาเปิดร้านขายของทอดมาตั้งแต่ปี 2533 เดิมตั้งร้านอยู่บริเวณด่านหัวลำโพงก่อนขึ้นทางด่วน แต่หลังจากมีการสร้างทางพิเศษศรีรัช เขาจึงขยับที่ทางมาอยู่บริเวณแยกหัวลำโพงแทน
เมื่อก่อนหัวลำโพงเคยเป็นศูนย์รวมของผู้คนจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจากเหนือหรือใต้ หากต้องการเข้ากรุงเทพฯ ก็ต้องมาลงที่นี่ กระทั่งปี 2566 มีการย้ายบริการรถไฟทางไกลจาก ‘หัวลำโพง’ ไป ‘สถานีกลางบางซื่อ’ เพื่อลดปัญหารถติดในเมือง ทำให้จำนวนผู้โดยสารของสถานีลดลงอย่างเห็นได้ชัด และปัจจุบันสถานีหัวลำโพงจึงเหลือเพียงรถไฟชานเมือง รถไฟท้องถิ่น และรถไฟชั้น 3 เท่านั้น
“ลุงอยู่มาตั้งแต่สมัยหัวลำโพงยังคึกคัก เมื่อก่อนขายของนี่ลุงไม่ได้นั่งหรอก กินข้าวยังไม่ได้กินเลย เดินขายเร่ไปทั่ว… ลุงว่ามันคงไม่ดีขึ้นไปกว่านี้หรอก เขาคงไม่มาทำอะไรตรงนี้ ถึงมีรถวิ่งอยู่ก็มีแต่รถสายสั้น” ลุงประยูรพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ
แม้ลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจะหายไปจนแทบไม่เหลือ แต่ลุงประยูรยังมีกลุ่มลูกค้าประจำเป็นคนทำงานในละแวกนั้น เพราะร้านของลุงประยูรไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า MRT หัวลำโพงมากนัก ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะแวะมาอุดหนุนช่วงหลังเลิกงาน แต่ก็ไม่ได้เยอะจนถึงขนาดที่ลุงจะไม่ได้นั่งพักเหมือนเมื่อก่อน
ลุงประยูรตอกบัตรเข้างานด้วยตัวเอง โดยรถเข็นของเขาจะสแตนด์บายพร้อมขายของที่แยกหัวลำโพงตั้งแต่ตีห้า นั่นหมายความว่า ลุงประยูรต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสาม ก่อนจะตอกบัตรเลิกงานตอนหกโมงเย็น และเข้านอนประมาณสามทุ่มหลังจบข่าวช่วงค่ำ
วันหยุดของลุงประยูรขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของเขา คือ ถ้าวันไหนรู้สึกเหนื่อย อยากนอนตื่นสาย หรือมีนัดต้องไปหาหมอ วันนั้นรถเข็นไก่ทอดลุงประยูรก็จะไม่อยู่ให้เห็น
ลุงประยูรกล่าวว่า ตนเองเปรียบเหมือนเสาหลักของครอบครัวที่ประกอบด้วยลูก 3 คน และหลานอีก 6 คน ซึ่งยังเรียนอยู่ทั้งหมด
ขณะที่ภาระก้อนใหญ่ของลุงประยูร คือ ‘ค่าเช่าบ้าน’ เนื่องจากลุงประยูรไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด เขาเป็นคนขอนแก่นที่ย้ายเข้ามาหาเงินในเมืองหลวง และเดิมอาศัยอยู่บริเวณบ่อนไก่ก่อนเกิดเหตุไฟไหม้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว จึงต้องย้ายมาหาเช่าบ้านในเขตปทุมวัน
แม้ตัวเองจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในสภาวะเศรษฐกิตที่ผลัดให้วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นและลูกค้าลดน้อยลง แต่ลุงประยูรก็ยังยืนยันที่จะเริ่มต้นขายไม้ละ 10 บาท เพราะมองว่าการปรับราคาขึ้นเป็นเรื่องยากสำหรับลูกค้าที่คุ้นเคยกับราคาเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะลดปริมาณของลง เพื่อให้ไก่ทอดของลุงยังเป็นราคาที่พวกเขาจับต้องได้แทน
‘ป้าติ๋ม’ แม่ค้าเลียบหัวลำโพง กับชีวิตที่ไร้วันหยุด มีเพียงหมาแมวเป็นสิ่งเยียวยาใจ
เมื่อเดินเลียบคลองผดุงกรุงเกษมไม่ไกลจากสถานีหัวลำโพงมากนัก จะพบเพิงร้านค้าขนาดเล็กพร้อมได้ยินเสียงเพลงประกอบเปิดคลอจากวิทยุรุ่นเก่า โดยมี ป้าติ๋ม แม่ค้าเลียบหัวลำโพง อายุ 70 ปี เจ้าของร้านนั่งอยู่
“ป้าขายของที่นี่มา 20 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นคนปล่อยคิวรถเมล์ พอเกษียณเลยมาขายของตรงนี้ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรกินเลยมาอยู่ตรงนี้” ป้าติ๋ม กล่าว
ป้าติ๋มเล่าว่า เดิมมีบ้านอยู่ที่บางกรวยแต่ถูกยึดไปหลังแม่ของเธอตาย ตอนนี้ป้าติ๋มจึงอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ในรูปแบบ ‘ไม่เสียค่าเช่า’ โดยแลกกับการที่เธอต้องทำอาหารและช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียงในบ้านแทน
“ครอบครัวป้าตายหมดแล้ว เคยมีสามีแต่เขาเสียชีวิตไปเมื่อป้าอายุ 25 ปี มีลูก 3 คน ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด เขาโตกันหมดแล้ว มีลูกมีหลานกันไปแล้ว ส่วนเราก็หากินของเราเอง เราไม่มีเงินให้เขาเนอะ … แต่เราก็ติดต่อกับลูกอยู่บ้างนะ เขาโทรมาอยู่เรื่อย เขาเคยถามด้วยว่า เลิกขายของแล้วไปอยู่กับลูกไหม แต่เราก็ไม่ไป เราอยู่คนเดียวของเราได้” ป้าติ๋มเล่าถึงของครัวของเธอ
แม้ดูเหมือนป้าติ๋มไม่มีภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างค่าเช่าบ้านหรือการเลี้ยงดูคนในครอบครัว แต่หนึ่งในปัญหาที่ป้าติ๋มกำลังเผชิญอยู่ คือ ‘ปัญหาสุขภาพ’
ป้าติ๋มเล่าว่า ส่วนใหญ่เธอเสียเงินไปกับการซื้อยากินเองตามอาการ เนื่องจากไม่กล้าไปหาหมอ เพราะกลัวว่าหากตรวจเจอโรคร้ายแล้วจะสร้างความกังวลให้กับตนเอง
“ป้าไม่เคยหยุดเลย ทำงานทุกวัน เราเป็นคนปากเดียวท้องเดียว แค่อาศัยเขาอยู่ เราจะไปหยุดทำอะไรได้ เขาก็ให้เราอยู่ฟรี เช้ามาเราก็ทำกับข้าวให้ เดี๋ยวกลับอย่างช้าประมาณสามโมงครึ่งก็ไปช่วยเก็บบ้าน ช่วยดูแลคนป่วย” ป้าติ๋มกล่าว
**หนึ่งวันของป้าติ๋มเริ่มตั้งแต่ ‘ตีหนึ่งครึ่ง’ โดยเธอจะตื่นมาเตรียมของเพื่อนำมาขายที่หัวลำโพงประมาณหกโมงเช้าถึงสามโมงเย็น ก่อนจะเข้านอนช่วงสามทุ่มของทุกวัน และไม่มีวันหยุด
สาเหตุที่ป้าติ๋มต้องตื่นเช้าขนาดนี้ เพราะเพิงร้านขนาดเล็กของเธอมีขายตั้งแต่บะหมี่ ข้าวกล่อง ข้าวเหนียว และน้ำหวาน โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็น ‘คนขับรถเมล์’ และบางส่วนเป็นคนที่เคยทำงานด้วยกัน ซึ่งจะมาซื้อใส่ถุงไปตั้งแต่หกโมงเช้า
ความคุ้นเคยจากการทำงานร่วมกันในอดีต ทำให้คนขับรถเมล์และป้าติ๋มไว้ใจกันมาก จนเกิดเป็นระบบ ‘เซ็นไว้ก่อน’ ซึ่งจะจ่ายคืนเมื่อถึงรอบเงินออกหรือมีเบี้ยเลี้ยงต่อวันเหลือ แต่เมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นของระบบดังกล่าว ป้าติ๋มเล่าพร้อมหัวเราะว่า
“เขาไม่ได้บอกเราว่าจะเซ็นตั้งแต่แรก เขาซื้อหยิบใส่ถุงแล้วบอก ‘ป้า ไว้ก่อน’ เราก็ ‘เออ โอเค’ เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวเขาก็มาคืน อย่างวันนี้เซ็น อีกสองสามวันก็มาคืน แต่ส่วนใหญ่จะครึ่งเดือนจ่ายที”
ทั้งนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่ดีนัก ป้าติ๋มจึงขายของต่อวันได้น้อยลง บางวันก็ขายไม่หมดต้องเก็บกลับบ้านหรือแบ่งนกหรือหมาแถวนั้น
ถึงกระนั้น การเล่นกับหมา แมว หรือการให้อาหารนกบริเวณไม่ไกลจากร้านของเธอ ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจของป้าติ๋มท่ามกลางตารางเวลาที่แน่นเอี๊ยดในแต่ละวัน
‘ต๋อง (นามสมมติ)’ พ่อค้าขายหมูย่าง ที่ฝากท้องของแรงงานข้ามชาติและรถรับจ้างอิสระ**
**“ผมเป็นคนอุบล ย้ายมากรุงเทพฯ นานมาก แต่ไม่ถึงกับย้ายหรอก แค่ขึ้นมาหาเงิน ตั้งแต่ประมาณอายุเพิ่งจะ 20 ปี ตอนนี้ยังมีบ้านที่อุบลอยู่ ครอบครัวพ่อแม่อยู่อุบล และมีครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ทั้งแฟนเราและลูกที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา” ต๋อง กล่าว
ต๋อง (นามสมมติ) พ่อค้าขายหมูย่าง อายุ 32 ปี เดินทางจากอุบลราชธานีมาหาโอกาสและเงินในกรุงเทพฯ ต้องเช่าบ้านอยู่กับพี่น้องของตัวเองรวม 2 ครอบครัว ซึ่งหากรวมค่าน้ำ-ค่าไฟ เขาต้องเสียค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท และค่าที่จอดรถอีกเดือนละ 1,500 บาท
อาชีพแรกที่ต๋องเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ คือ ‘รับจ้างทั่วไป’ ในตลาดแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างส่งของเขาได้สังเกตเห็น ‘คนขายหมูย่าง’ แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจและอยากลองขายบ้าง ต๋องจึงเริ่มลงทุนทำร้านรถเร่ขายหมูย่างของตัวเอง
ระยะแรกร้านหมูย่างของต๋องดำเนินไปด้วยดี แต่เมื่อเศรษฐกิจซบเซาลงหลังการระบาดของ COVID-19 ทำให้รายได้ของเขาไม่มากเท่าเมื่อก่อน ต้องอาศัยการขับรถเร่ไปตามสถานที่ต่าง ๆ มากขึ้นแทน
ร้านของต๋องมีให้เลือกตั้งแต่หูหมู ไส้หมู เครื่องใน และหน้ากากหมู โดยมีแฟนคอยเตรียมวัตถุดิบและจัดการเรื่องเงินให้ ต๋องเริ่มออกมาเร่ขายตั้งแต่ 10 โมงเช้า และเลิกขายก็ต่อเมื่อของหมดคือประมาณหนึ่งทุ่ม
ลูกค้าประจำของต๋องมีทั้งคนขับรถรับจ้างอย่าง ‘แท็กซี่หรือไรเดอร์’ ซึ่งมีพฤติกรรมรีบกินรีบไป มักแวะซื้อครั้งละ 30-40 บาท ขณะที่อีกกลุ่มคือ ‘แรงงานข้ามชาติ’ อย่างกัมพูชาหรือเมียนมาที่อยู่อาศัยกับครอบครัว โดยกลุ่มนี้จะซื้อครั้งละเยอะ ๆ ขั้นต่ำประมาณ 100 บาท
วันหยุดของต๋องคือ ‘วันจันทร์’ ตามมาตรการของกรุงเทพมหานคร ที่กำหนดให้ร้านค้าแผงลอยในแต่ละย่านต้องมีวันหยุดขายอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อทำความสะอาด เก็บกวาด ฉีดล้างทางเท้า เพื่อคืนสุขาภิบาลและจัดการจราจร ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้อ๋องได้หยุดพักสัปดาห์ละครั้ง
‘กิจ’ รับจ้างเข็นดอกไม้ปากคลองตลาด: หนึ่งวันที่ต้องเข็นรถมากกว่า 50 เที่ยว เพื่อให้พอค่ากินอยู่**
**หากใครเคยมาย่านปากคลองตลาดคงคุ้นตากับคนกลุ่มหนึ่งที่มาพร้อมรถเข็นคู่กาย พวกเขาคือ ‘ผู้รับจ้างเข็นดอกไม้’ ฟันเฟืองสำคัญที่ทำหน้าที่ลำเลียงดอกไม้ ผัก และผลไม้ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งของตลาดแห่งนี้
กิจ รับจ้างเข็นดอกไม้ อายุ 46 ปี อดีตชาวนาจากอุบลราชธานีเข้ามาหาเงินในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2554 อาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีลูกหลานรวม 4 คน และยังเรียนอยู่ทั้งหมด แต่นโยบายเรียนฟรีของภาครัฐ ทำให้เขาไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา
“ภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่ากินอยู่แหละ วันนึงอย่างต่ำก็ประมาณ 500-600 บาท รวมทั้งครอบครัว แต่พี่ไม่ได้เป็นรายได้หลักของครอบครัวนะ เหมือนครอบครัวช่วย ๆ กันหาเงินมากกว่า” กิจ กล่าว
กิจเล่าว่า รายได้ของวินเข็นดอกไม้จะนับเป็นเที่ยว เที่ยวละ 20 บาท และเพิ่มเป็น 40 บาทหากต้องเข็นไกลขึ้น ลูกค้ามีตั้งแต่แม่ค้าในตลาดไปจนถึงลูกค้าทั่วไปที่ซื้อของจำนวนมาก แต่ละวันกิจต้องหาเงินให้ได้อย่างน้อย 1,000-1,200 บาท เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวและค่าใช้จ่ายจิปาถะ
หากคำนวณค่าจ้างและจำนวนเงินที่กิจต้องหาให้ได้ในแต่ละวัน พบว่าหนึ่งวันเขาต้องเข็นรถเข็นดอกไม้ไปกลับอย่างน้อย 50 เที่ยว ตามค่าจ้างขั้นต่ำที่เขาได้รับต่อเที่ยว
แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ร้านค้าเริ่มจ้างวินเข็นดอกไม้ลดลง เพราะบางร้านสั่งของมาน้อยลง บางร้านหยุดขายบ่อยขึ้น กิจจึงต้องอาศัย ‘ลูกขยัน’ โดยตื่นมาปากคลองตลาดตั้งแต่ตีสี่ซึ่งเป็นเวลาลงของส่วนใหญ่ ก่อนจะไปแอบงีบแล้วกลับมาทำงานช่วงแปดโมงถึงสี่ทุ่ม
‘วรรณา’ แม่ค้าขายไข่เต่า: แม้ต้นทุนสูงแต่ไม่ยอมขึ้นราคา อยากให้ลูกค้าทุกคนอิ่มท้อง**
**“เศรษฐกิจไม่ไหวเลยช่วงนี้ มีลูก 2 คน ก็ทำงานก็เดือนชนเดือน ใช้ไม่พอเลย เมื่อก่อนป้าขายได้วันละเกือบ 2,000 บาท เดี๋ยวนี้ 800-900 บาทก็เยอะแล้ว แต่ค่าครองชีพก็ไม่เท่ากันด้วยนะ สมัยก่อนค่าครองชีพถูก เดี๋ยวนี้ค่าครองชีพสูงแต่รายได้ลดลง” วรรณา กล่าว
วรรณา แม่ค้าขายไข่เต่า อายุ 57 ปี คนอุบลราชธานีที่เข้ามาเป็นแม่บ้านในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 18 เพราะค่าตอบแทนแม่บ้านไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เธอจึงผันตัวมาเป็นแม่ค้าขายไข่เต่าและกุยช่ายทอด ซึ่งมีรายได้ดีกว่าการรับจ้างทั่วไป
หลังการระบาดของโรค COVID-19 และเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว การค้าขายของวรรณาเริ่มซบเซาลงสวนทางกับราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น จากเดิมน้ำมันทอดกิโลละ 50 บาท กลายเป็น 70 บาท แต่วรรณาก็ยังคงขายของในราคาเดิมไม่ได้ปรับขึ้น
“ที่ไม่ขึ้นราคาเพราะเราขายของเอาแค่พออยู่ได้ คนอื่นก็ลำบากเหมือนกัน จะให้นึกถึงแต่ตัวเองก็คงไม่ได้ เราก็อยากให้คนซื้อกินอิ่มในราคา 20 บาท … ป้าคิดถึงคนซื้อเหมือนกันนะ เชื่อว่าถ้าเราอยู่ได้ คนซื้อก็อยู่ได้” วรรณา กล่าว
วรรณามีความผูกพันและคุ้นเคยกับพ่อค้าแม่ค้าในปากคลองตลาดเป็นอย่างดี เธอเล่าให้ฟังว่า คนขายดอกไม้ในปากคลองตลาดตอนนี้ประสบปัญหาเดียวกัน คือ ขายไม่ค่อยได้ แต่ยังต้องแบกรับภาระค่าเช่าที่และค่าจ้างคนงานในร้าน 20-30 คน
“ร้านใหญ่ ๆ ต้องลงทุนค่าเช่าที่ ค่าจ้างคนงานในร้าน พวกเขาน่าจะเจอวิกฤติหนักกว่าป้านะ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ก็ไม่มีใครออกมาซื้อของ ซื้อดอกไม้ ส่วนป้าลงทุนน้อยเลยไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบมาก” วรรณาเล่าถึงสถานการณ์ร้านค้าในปากคลองตลาด
ขณะเดียวกัน วรรณายังต้องหาเงินให้ได้วันละอย่างน้อย 900 บาท เพื่อแบ่งเป็นค่าจ้างเลี้ยงหลาน 2 คน ค่านม ค่าอาหาร และค่าน้ำ-ค่าไฟ เพราะลูกของเธอมีรายได้แค่หมื่นต้น ๆ เมื่อหักหนี้สินแล้วก็แทบไม่พอใช้จ่าย เธอจึงต้องช่วยแบ่งเบาภาระด้วยการช่วยหาเงินเลี้ยงหลานเอง
หนึ่งวันของวรรณา เริ่มตั้งแต่หกโมงเช้า เพื่อเตรียมอาหารสำหรับขายในช่วง 8 โมงครึ่ง เธอจะวนเวียนอยู่แถวปากคลองตลาดถึงช่วงบ่ายของวัน ก่อนจะย้ายไปขายหน้าโรงเรียนตอนบ่ายสองครึ่งซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กมัธยม จากนั้น วรรณาจะเร่ขายตามทางไปจนถึงสามทุ่มแล้วกลับบ้าน
นอกจากคนในปากคลองตลาดที่เป็นลูกค้าประจำของวรรณาแล้ว อีกกลุ่มลูกค้าสำคัญคือ ‘นักท่องเที่ยวชาวยุโรป’ ซึ่งมีเยอะในช่วงเดือน 2-3 เดือนที่ผ่านมา
วรรณามองว่า รายได้ของเธอในแต่ละวันไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าวันไหนเธอจะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้วเข้ามาช่วยซื้อขนมของเธอ และหากหนึ่งวันขายได้ไม่ถึงยอดที่ตั้งไว้ วรรณาก็ต้องพยายามขายในวันต่อไปเพื่อนำรายได้มาทบต้นกัน
‘ลุงดำ’ คนขายน้ำชง: ชีวิตที่ไร้ภาระหลังลูกเรียนจบ**
**“ภาระค่าใช้จ่ายก็มีปกติทั่วไป ค่าน้ำ-ค่าไฟ เพราะลูกลุงเรียนจบกันหมดแล้ว ถ้าเป็นช่วงแรกที่มาขายแล้วลูกยังเรียนอยู่นี่ก็รายจ่ายก็เยอะนะ ต้องส่งลูกเรียนสองคน แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจมันยังดีอยู่เลยรู้สึกว่าไม่แย่มาก” ลุงดำ กล่าว
ลุงดำ คนขายน้ำชง อายุ 50 ปี เคยทำงานโรงงานในต่างจังหวัดและย้ายจากศรีสะเกษบ้านเกิดของเขามาหางานทำในกรุงเทพฯ เดิมเป็นพนักงานประจำก่อนจะหันมาขายน้ำชงรถเข็น โดยหนึ่งวันลุงดำขายได้ประมาณ 1,000 บาท โดยไม่รวมกำไรและยังไม่ได้หักลบต้นทุน
เส้นทางการค้าขายของลุงดำเริ่มตั้งแต่ตีห้าครึ่งที่ ‘วัดประยูร’ ซึ่งไม่ไกลจากที่พักอาศัยของเขา ก่อนขยับมาขายแถวปากคลองตลาดช่วง 11 โมง แล้วเลิกประมาณห้าโมงเย็น โดยมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุที่คุ้นเคยกัน และนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาประปราย
ลุงดำเล่าว่า ตลอดช่วงที่ตัวเองทำการค้าขาย ไม่มีช่วงไหนที่เศรษฐกิจดีเลย แต่ช่วงที่รู้สึกว่าเป็นวิกฤติที่สุดคือช่วงการระบาดของ COVID-19 และหลังจากนั้นก็ยังไม่ดีขึ้น
โชคดีที่ลูกของเขาเรียนจบพอดีและมีรายได้เป็นของตัวเอง ประกอบกับไม่มีภาระหนี้สิน ลุงดำจึงไม่ต้องมีเพดานว่าต้องขายให้ได้อย่างน้อยวันละเท่าไหร่ เขาอาศัยเพียงความขยันเพื่อให้ตัวเองมีกินมีใช้ไม่ต้องเป็นภาระของใคร
‘ลุงบุญโฮม’ ผู้ขับรถเร่ขายรองเท้าย่านปากคลองตลาด**
**“ลุงเป็นคนมหาสารคาม สมัยก่อนเรียนจบ ป.4 ก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่นา…แต่พอเห็นเพื่อนเขามาทำงานในกรุงเทพฯ แล้วเงินดี ลุงก็มาบ้าง ตอนนั้นทำงานได้เงินวันละ 5 บาท ซึ่งยังดีกว่าสมัยนี้นะ เพราะ 5 บาทยังเหลือเก็บส่งเงินกลับไปให้ที่บ้านได้ อาจเพราะข้าวของสมัยก่อนไม่แพงเท่าสมัยนี้” ลุงบุญโฮม กล่าว
ลุงบุญโฮม อายุ 74 ปี ผู้ขับรถเร่ขายรองเท้าย่านปากคลองตลาด เล่าว่าช่วงที่เข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ เขาเคยทำงานในโรงเลื่อยแถวบางโพ ก่อนที่อายุจะมากขึ้นและตัดสินใจมองหารายได้อื่น เพื่อนจึงแนะนำให้มาลองขายของเพราะรายได้ดี ลุงบุญโฮมจึงไปรับรองเท้าจากสำเพ็งมาเร่ขายในเมืองตั้งแต่ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ลูกค้าประจำของลุงบุญโฮมคือคนในปากคลองตลาด เมื่อก่อนเขาเคยขี่รถเข้าไปขายของด้านในตลาดได้ แต่หลังจากที่เจ้าของตลาดเริ่มเก็บค่าเข้าวันละ 100 บาท ลุงบุญโฮมจึงปรับที่ทางมาขับเร่ขายอยู่รอบนอกแทน
“ถ้าเก็บวันละร้อยนี่ หนึ่งเดือนลุงเสียถึง 3,000 บาทเลยนะ มันไม่คุ้มกันหรอก เพราะถ้าเขาไปแล้วขายได้ก็ดี แต่การค้าขายมันไม่แน่นอน บางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้” ลุงบุญโฮมเล่าเหตุผลที่เขาตัดสินใจไม่ปักหลักขายที่ใดที่หนึ่ง
เมื่อถามถึงราคารองเท้าและรายได้ของลุงบุญโฮม พบว่าหนึ่งวันเขาต้องขายรองเท้าอย่างน้อยหนึ่งโหล เพื่อหาเงินให้ได้วันละ 1,000 บาท โดยรองเท้าที่เขาขายขึ้นอยู่กับยี่ห้อของรองเท้าแต่ละคู่ หากเป็นคู่ที่มียี่ห้อก็จะขายแพงขึ้นและช่วยให้ลุงบุญโฮมมีรายได้ถึงวันละเกือบ 2,000 บาท
แน่นอนว่าไม่มีใครซื้อรองเท้าคู่ใหม่ทุกวัน ลุงบุญโฮมจึงหารายได้เสริมจากการขาย ‘ข้าวเหนียวปิ้ง’ ทุกวันศุกร์หรือเมื่อรองเท้าในสต็อกใกล้หมด ซึ่งตอนนี้ลุงบุญโฮมก็เติมของน้อยลงกว่าเดิมมากเพราะขายไม่ดีเท่าเมื่อก่อน แต่สุดท้ายเขาก็ยังรู้สึกชอบการขายรองเท้ามากกว่าอยู่ดี
“ช่วงไหนขายรองเท้าไม่ค่อยออก เราก็หันไปขายข้าวเหนียวปิ้งแทน แต่ขายข้าวเหนียวปิ้งจะกว่าเพราะเราต้องเดินเร่ขายด้วย … ลุงชอบขายรองเท้ามากกว่าแม้ช่วงหลังจะจมทุน เพราะเราลงทุนกับมันแล้วก็ยังเก็บไว้ได้ หาของใหม่มาเติมได้เรื่อย ๆ รองเท้าไม่มีวันเสีย แต่ถ้าเป็นของกินต้องขายให้หมดภายในวันนั้น เก็บข้ามคืนไว้ก็ไม่ดี” บุญโฮมเปรียบเทียบช่องทางการหาเงินของเขา
แม้ลุงบุญโฮมจะเช่าบ้านอยู่คนเดียว แต่เขายังเป็นรายได้หลักของครอบครัวและคอยช่วยส่งเงินให้ลูกหลาน ส่วนภาระค่าใช้จ่ายหลักของลุงบุญโฮม คือ ‘ค่าประกัน ธ.ก.ส.’ หรือการจ่ายของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์
นอกจากนี้ ยังมีค่าทำบุญสำหรับงานศพของคนในชุมชน โดยจะเก็บครั้งละ 20 บาท แต่ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันก็จะเก็บ 200 บาท ซึ่งส่วนนี้เป็นรายจ่ายที่สูงมาก เนื่องจากคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีคนเสียชีวิตบ่อย
ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของลุงบุญโฮมไม่ต่างจากคนอื่นมากนัก คือ ช่วงการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเขาต้องควักเนื้อหยิบเงินเก่ามาใช้จนเกือบหมด เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤติมาได้เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ลุงบุญโฮมต้องขี่รถออกมาหารายได้ไม่เว้นวัน
“ถ้าไม่ดิ้นรนจริง ๆ ก็อยู่ไม่รอดเลยนะสมัยนี้…ต้องหาเงินมาหมุนใช้จ่ายแบบวันต่อวัน หยุดพักไม่ได้เลย เพราะถ้าหยุดเงินก็จะหมดทันที” ลุงบุญโฮม กล่าว**
**การสำรวจชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำทั้ง 7 คน พบว่า กิจวัตรประจำวันของพวกเขาล้วยเป็นการตื่นตั้งแต่เช้ามืดและเข้านอนตั้งแต่หัววัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการหารายได้แบบ ‘วันชนวัน’ โดยไม่มี hiวันหยุดพัก เพราะการหยุดพักหนึ่งวันเท่ากับรายได้ที่หายไป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องของครอบครัว
นอกจากนั้น ทุกคนต่างเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจซบเซาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังโรคระบาดของ COVID-19 ประกอบกับค่าครองชีพและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แต่พวกเขายังยอมลดกำไรหรือจมทุนด้วยการขายอาหารในราคาเดิม เพื่อให้ลูกค้าทุกคนยังเข้าถึงได้
เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่คอยขับเคลื่อนเมืองในมุมหนึ่ง หากไม่มีรองเท้าของลุงบุญโฮมหรือวินเข็นดอกไม้อย่างกิจ กิจการในปากคลองตลาดอาจสะดุดลง เราอาจไม่มีผักผลไม้ไว้สำหรับบริโภค หากไม่มีร้านค้าตามริมทางเหล่านี้ อาจไม่มีที่ฝากท้องสำหรับคนขับรถเมล์หรือไรเดอร์ที่คอยขับรถรับ-ส่งคนเมืองตลอดทั้งวัน
ถึงกระนั้น ชีวิตของพวกเขาคนกลุ่มนี้ยังถูกละเลยจากภาครัฐ ซึ่งไม่มีแนวทางแก้ปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงินของผู้หาเช้ากินค่ำอย่างจริงจัง เหล่านี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในสังคม
หากวันหนึ่งพวกเขาต้องล้มลงเพราะทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว
สังคมที่เราพึ่งพาอยู่ก็อาจขาดส่วนสำคัญที่สุดไป
Photographer: Asadawut Boonlitsak
Graphic Designer: Manita Boonyong**