ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค.“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15 ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท การเคลื่อนไหวของเงินบาทล่าสุด ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเราที่มองว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง)
แต่เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง (มี bias ในฝั่งเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่า) ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยในช่วงวันนี้ เรามองว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้
โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใสและดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง จากให้โอกาสราว 30% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้
อาจเหลือโอกาส 0%-15% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท โดยในส่วนของเงินบาทนั้น เราประเมินว่า มีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ในทางกลับกัน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด หรือไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง เช่นปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้ง ในปีนี้
เป็นเกือบ 50% หรือมากกว่าเล็กน้อย (มากกว่า 50% อาจเกิดได้ไม่ยาก หากข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน) ซึ่งในกรณีนี้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงอีกครั้ง
หนุนให้ราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น ส่วนเงินบาทก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และเสี่ยงที่จะแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าว (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เรามองว่า ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน พร้อมจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินหยวน (CNY) เนื่องจากเงินหยวนจีน เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงพอสมควร (High correlation)
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.52 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด
ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดได้ประเมินไว้ก่อนหน้า จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวสูงขึ้น +3.3%y/y (+0.9%m/m) มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้เพียง +2.5%y/y (+0.2%m/m) อย่างเห็นได้ชัด
กอปรกับ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ก็ออกมาดีกว่าคาด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 26% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ จากที่ประเมินไว้ราว 50%-60% ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับ 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของบรรดาผู้เล่นในตลาด
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น และบางส่วนก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ออกมา หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.03%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.55% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและการทหารก็รีบาวด์สูงขึ้น
หลังเผชิญแรงขายทำกำไรในช่วงก่อนหน้า จากแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า บรรดาประเทศในยุโรปก็มีแนวโน้มเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะสงบลงก็ตาม
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4.30% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากกว่าคาด โดยภาพดังกล่าว สอดคล้องกับการประเมินของเราที่มองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร (ในช่วงที่ผ่านมา)
ทำให้ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ
ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด
หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เนื่องจากยังคงเชื่อว่า เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อได้ อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
อย่างข้อมูลการจ้างงานและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของบรรดาผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น
และกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงเข้าใกล้โซนแนวรับระยะสั้นแถว 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยยังคงเห็นแรงซื้อทองคำ Buy on Dip จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่ ซึ่งช่วยพยุงให้ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงหนัก
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้พอสมควร โดยเฉพาะ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนสิงหาคม ที่ในรายงานเดียวกันนั้น
ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอย่าง ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมโดย New York Fed (Empire Manufacturing Index) ในเดือนสิงหาคม และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึงราคาบ้านใหม่ และราคาบ้านมือสอง ในเดือนกรกฎาคม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.41-32.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำตลาดโลก และสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ ทื่เพิ่มสูงกว่าที่ตลาดคาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. และตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค. (เบื้องต้น)