อดีตผู้บริหารกูเกิล เตือน AI จะทำลายงานสายออฟฟิศครึ่งโลก! เตรียมเจอ "นรก" 15 ปี
อดีตผู้บริหาร Google เตือน AI อาจทำให้โลกเผชิญ "ช่วงเวลาเลวร้ายยาวนาน 15 ปี" และอาจเริ่มเร็วกว่าที่เราคาดไว้
อดีตผู้บริหาร Google เตือนว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจทำให้สังคมต้องเผชิญความปั่นป่วนและความลำบากยาวนานกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะการแทนที่งานสายออฟฟิศจำนวนมาก และ “นรก” นี้อาจเริ่มต้นเร็วที่สุดในปี 2027
โม กอว์ดัต อดีตประธานฝ่ายธุรกิจของ Google X ซึ่งลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2018 และปัจจุบันเป็นนักเขียนและนักพูดชื่อดัง อธิบายถึงภาพอนาคตอันมืดมนที่เต็มไปด้วยการตกงานอย่างแพร่หลาย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความวุ่นวายทางสังคตจากคลื่นการเปลี่ยนแปลงของ AI
“อีก 15 ปีข้างหน้าจะเป็นเหมือนนรก ก่อนที่เราจะไปถึงสวรรค์” กอว์ดัตกล่าวในการสัมภาษณ์กับสตีเวน บาร์ตเลตต์ ผู้ประกอบการชาวอังกฤษ ในรายการพอดแคสต์ “Diary of a CEO” เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
กอว์ดัต วัย 58 ปี ยกตัวอย่างสตาร์ตอัปของเขาเองชื่อ Emma.love ซึ่งพัฒนา AI ที่เน้นเรื่องอารมณ์และความสัมพันธ์ โดยมีทีมงานเพียง 3 คนเท่านั้น
“บริษัทแบบนี้ในอดีตจะต้องใช้โปรแกรมเมอร์ถึง 350 คน” เขากล่าวกับบาร์ตเลตต์ในบทสัมภาษณ์ที่ Business Insider รายงานเป็นครั้งแรก
“พูดตรง ๆ เลยว่า คนทำพอดแคสต์ก็จะถูกแทนที่เช่นกัน”
กอว์ดัตเตือนชัดเจนว่า “ยุคสิ้นสุดของงานสายออฟฟิศ” จะเริ่มต้นขึ้นภายในช่วงปลายทศวรรษ 2020 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างการทำงานของสังคม
เขาชี้ว่า คลื่นเทคโนโลยีในอดีตมักกระทบแรงงานใช้แรงงานเป็นหลัก แต่คลื่นการปฏิวัติรอบนี้จะมุ่งเป้าไปยังแรงงานมีการศึกษาและชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่
กอว์ดัต ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื้อสายอียิปต์ที่กลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุเพียง 29 ปี เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้จะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในระดับที่อันตราย
เขาเตือนว่า หากไม่มีการกำกับดูแลจากภาครัฐอย่างเหมาะสม เทคโนโลยี AI จะยิ่งทวีความมั่งคั่งและอำนาจให้กับกลุ่มคนที่ครอบครองหรือควบคุมระบบเหล่านี้ ในขณะที่แรงงานนับล้านจะต้องดิ้นรนหาที่ทางของตนในเศรษฐกิจยุคใหม่
นอกเหนือจากปัญหาเศรษฐกิจ กอว์ดัตยังคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสังคมในวงกว้างอีกด้วย
กอว์ดัตกล่าวว่า AI จะจุดชนวนให้เกิด “ความไม่สงบทางสังคม” อย่างรุนแรง เมื่อผู้คนต้องเผชิญกับการสูญเสียอาชีพและความหมายของชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น ความเหงาที่มากขึ้น และความแตกแยกในสังคมที่ลึกยิ่งขึ้น
“ถ้าคุณไม่ติดอยู่ในกลุ่มบนสุด 0.1% คุณก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา” กอว์ดัตกล่าว “ชนชั้นกลางจะไม่เหลืออีกต่อไป”
แม้จะคาดการณ์ในแง่ร้าย แต่กอว์ดัตก็เชื่อว่า หลังจากช่วงเวลาแห่ง “นรก” จะตามมาด้วย “ยุคยูโทเปีย” ซึ่งจะเริ่มขึ้นหลังปี 2040 เมื่อผู้คนไม่ต้องทำงานซ้ำซากจำเจอีกต่อไป
กอว์ดัตเชื่อว่า มนุษยชาติควรเปลี่ยนจากการยึดติดกับ “บริโภคนิยมและความโลภ” ไปสู่การขับเคลื่อนด้วย “ความรัก ชุมชน และการเติบโตทางจิตวิญญาณ”
เขาเน้นว่าทั้งรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน ต้องร่วมกันเตรียมรับมืออย่างจริงจัง เช่น การนำแนวคิดรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) มาใช้ เพื่อช่วยให้ผู้คนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
“แม้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคดิสโทเปียในระยะสั้น แต่เรายังสามารถเลือกได้ว่า อนาคตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร” กอว์ดัตกล่าวในพอดแคสต์ พร้อมย้ำว่า อนาคตยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสังคมในวันนี้
เขาให้ความเห็นว่า ผลลัพธ์ในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแล การเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม และสิ่งที่เขาเรียกว่า “การโปรแกรมด้านศีลธรรม” ให้กับอัลกอริทึมของ AI
“สิ่งสุดท้ายที่มนุษยชาติอาจฝากไว้ คือการที่เราสามารถปรับตัว จินตนาการใหม่ และทำให้โลกยุคใหม่กลับมามีความเป็นมนุษย์อีกครั้ง” กอว์ดัตกล่าว
คำทำนายของเขาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก AI กำลังได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจและการวิเคราะห์ของกระแสหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ
JULIEN DE ROSA / AFP
ดาริโอ อาโมเดอี ซีอีโอของบริษัท Anthropic เตือนว่าอาจเกิด “การล้มตายของแรงงานออฟฟิศ” โดยคาดว่าในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า งานสายออฟฟิศระดับเริ่มต้นอาจหายไปถึงครึ่งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ระบุว่า 40% ของนายจ้างทั่วโลกคาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงเนื่องจาก AI ส่วนทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ประเมินว่า ปัจจุบันมีถึง 35% ของงานในสายออฟฟิศที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติแทนได้แล้ว
ด้านบริษัท Challenger, Gray & Christmas รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2023 มีการเลิกจ้างงานกว่า 27,000 ตำแหน่งที่เกิดจากผลกระทบของ AI โดยคาดว่าจะมีการปลดคนงานเพิ่มอีกหลายหมื่นในอนาคตอันใกล้นี้
โกลด์แมน แซคส์ และแมคคินซีย์ คาดการณ์ว่า AI จะช่วยกระตุ้นให้ GDP โลกเพิ่มขึ้นหลายล้านล้านดอลลาร์ แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า ผลประโยชน์เหล่านี้อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หากไม่มีนโยบายที่เหมาะสมเข้ามาจัดการ
นักวิเคราะห์จาก MIT และ PwC เห็นด้วยกับความกังวลของกอดแดตเกี่ยวกับการลดลงของค่าจ้าง การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง และความวุ่นวายทางสังคม เว้นแต่รัฐบาลจะเร่งดำเนินมาตรการรับมือการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างทันท่วงที