ขอให้ ‘ลูกช่างฟ้อง’ หยุด

ในช่วงสุดสัปดาห์ มีความเห็นของฝ่ายต่างๆ เกี่ยวกับการเมือง อาทิ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า ความเชื่อมั่นของรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร แตกต่างจากรัฐบาล “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน เนื่องจากเสียงรัฐบาล อีกทั้งยังมีหลายประเด็นปัญหารุมเร้า ทั้งนอกบ้านและในบ้าน ทำให้รัฐบาลไทยเปราะบางไม่เหมือนประเทศอื่น ซึ่งก็ต้องให้กำลังใจกัน เพราะถ้ารัฐบาลเป็นอะไรไปก็จะทำประเทศเสียประโยชน์ ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องเกิดสุญญากาศ ควรมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อแก้ปัญหา ฝ่าฟันอุปสรรคของประเทศต่อไป

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการเป็นองค์ประชุมสภา ก็ได้กำชับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคและขอความร่วมมือไปแล้วว่า ถ้ายังอยากเป็นรัฐบาลต่อ สัมพันธภาพต้องแน่นแฟ้น มี สส.และรัฐมนตรีมาประชุมสภา ทุกวันพุธและวันพฤหัสบดีอย่างเต็มที่ ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ ถึงจะไปต่อได้ และไม่ใช่แค่มาประชุม แต่ต้องอยู่ร่วมในห้องประชุมด้วย ห้ามออกไปไหน

เมื่อถามถึง กรณี “อดีตนายกฯ แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับมามีบทบาทส่งสัญญาณทางการเมือง และร่วมประชุมกับทีมไทยแลนด์ที่บ้านพิษณุโลก นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “การเชิญไปให้คำแนะนำในเวทีสาธารณะไม่ใช่การครอบงำ เป็นการพูดถึงสถานการณ์ภาพรวม นายทักษิณไม่เคยสั่งการอะไร สส.ในพรรค การไปประชุมกับทีมไทยแลนด์ เพราะได้รับเชิญไปให้คำแนะนำในฐานะผู้มีประสบการณ์แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาจ้องจับผิด จะพูดหรือทำอะไรก็ฟ้องหมด ทำทุกอย่างเป็นนิติสงครามให้ประเทศเดินต่อไม่ได้ จะกลัวอะไรนายทักษิณขนาดนั้น พวกลูกช่างฟ้องต้องหมดได้แล้ว น่าเบื่อ น่ารำคาญ ไม่อยากคบเพื่อนแบบนี้ แล้วคดีฮั้วเลือก สว. หลักฐานชัดเจน ทำไมไม่ไปฟ้องบ้าง”

“โฆษกบรู๊ค” ดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในอดีต ประเทศไทยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นนำโดย นายชวน หลีกภัย และมีนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ก็เคยเชิญคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ช่วยเหลือรัฐบาลในการเจรจาทางการค้ากับประเทศออสเตรเลียมาแล้ว

โฆษกบรู๊ค กล่าวด้วยว่า การปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติมีแนวโน้มในทางดี ทั้งการดำเนินการออกหมายจับเครือข่ายนายก๊ก อาน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีข้อมูลปรากฏชัดเจนว่า กัมพูชา คือแหล่งของแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ ที่สร้างปัญหาให้กับคนไทย ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยกำลังปรับปรุงการทำงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเร่งด่วน

“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เมื่อเข้าทำงานวันแรกก็ได้สั่งการให้ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมทันที ทั้งบ่อนกลางกรุง ผู้มีอิทธิพลและกลุ่มทุนสีเทา รวมถึงปราบยาเสพติด ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 เดือนจำนวนการก่ออาชญากรรมต่างๆ จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือยาเสพติด มั่นใจว่าการทำงานจะมีประสิทธิผลดีกว่าช่วงที่กระทรวงมหาดไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคการเมืองอื่น ที่ไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว

ซูเปอร์โพล สำรวจเรื่อง “ความคาดหวังและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหัวหน้าพรรคการเมืองตั้งใหม่ และพรรคเล็ก” สำรวจระหว่างวันที่ 9–12 ก.ค. จากกลุ่มตัวอย่างในเขตอุตสาหกรรม จำนวน 1,275 คน เมื่อสอบถามว่าประชาชนต้องการให้พรรคใหม่หรือพรรคเล็กเน้นนโยบายใดเป็นพิเศษ พบว่า อันดับ 1 ได้แก่ เศรษฐกิจ–สร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มเงินในกระเป๋า 61.4% อันดับ 2 ได้แก่ การศึกษา–ปรับระบบการเรียนให้ทำงานได้จริง 46.8% อันดับ 3 ได้แก่ ความมั่นคงของชาติ ปลอดอาชญากรรม 36.2% อันดับ 4 ได้แก่ สุขภาพและสวัสดิการ 33.2% และอันดับ 5 ได้แก่ ปฏิรูปการเมือง 30.8%

ผู้นำพรรคเล็กและพรรคใหม่แต่ละคน มีภาพลักษณ์และจุดแข็งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเชิงนโยบาย ความสามารถ และการยอมรับจากประชาชนในวงกว้าง ผลสำรวจพบว่า

1.ความโปร่งใสและการต่อต้านคอร์รัปชัน ได้แก่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (ไทยภักดี) ได้คะแนนสูงถึง 44.5% ซึ่งนำโด่งเหนือผู้สมัครรายอื่นอย่างชัดเจน

2.การศึกษาและการพัฒนาคน ได้แก่ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ไทยก้าวใหม่) ในด้านการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน นายสุชัชวีร์ ได้รับคะแนนนำสูงถึง 48.8% แสดงถึงความเชื่อมั่นของประชาชนในความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ของเขาในการยกระดับการศึกษาไทย

3.ด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจยุคใหม่ และโอกาสทางรายได้ ได้แก่ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล (ปวงชนไทย) ได้รับการยอมรับอย่างโดดเด่นใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สร้างงาน เพิ่มรายได้ 41.9% เทคโนโลยี พลังงานสะอาด 45.1% เศรษฐกิจยุคใหม่ 46.4% สามประเด็นนี้ล้วนเป็นเครื่องสะท้อนว่า นายเอกสิทธิ์ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีสีเขียว และการสร้างโอกาสใหม่ในยุค AI และอุตสาหกรรม 4.0 ได้

4.ด้านสุขภาพและสวัสดิการ ได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ไทยสร้างไทย) ในประเด็นสุขภาพและสวัสดิการ ซึ่งเป็นหัวใจของนโยบายรัฐสวัสดิการที่เท่าเทียมและเข้าถึงได้สำหรับทุกคนในสังคม ได้คะแนนสูงสุดถึง 42.6%

ที่น่าสนใจคือ ประชาชนจำนวนมากเปิดใจให้พรรคเปิดตัวใหม่และพรรคเล็ก เพราะให้โอกาสมากถึงมากที่สุด 65.2% ระดับปานกลาง 25.4% ในขณะที่ ไม่ให้โอกาส หรือให้โอกาสน้อย 9.4% แสดงให้เห็นว่ามากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เปิดใจ ให้โอกาสพรรคการเมืองตั้งใหม่และพรรคเล็กในการเข้ามาเป็นทางเลือกทางการเมืองอย่างจริงจัง

ในบัญชี X ของพรรคประชาชน ( ปชน.) โพสต์เกี่ยวกับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่ม 1 ต.ค.ว่า “เราไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพรรคเพื่อไทยที่ใช้เงินของรัฐ ซึ่งก็คือเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศ ไปอุดหนุนให้นายทุนรถไฟฟ้าอย่างไร้ฐานคิด รัฐบาลไม่ทราบต้นทุนของรถไฟฟ้าแต่ละสายด้วยซ้ำ แต่กลับตั้งราคาขึ้นมาลอยๆ ที่ 20 บาท การทำแบบนี้ส่งผลให้ 1. รัฐต้องทุ่มเงินอุดหนุนจำนวนมาก ที่สุดท้ายเข้ากระเป๋านายทุนรถไฟฟ้าเต็มๆ 2. เป็นนโยบายที่คิดไม่ครบ ใช้งบประมาณจำนวนมากโดยละเลยผู้ใช้รถเมล์ 3 .ขาดความยั่งยืน นโยบายนี้ต้องลุ้นแบบปีต่อปี เพราะไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย

ข้อเสนอพรรค ปชน. คือการทำค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท รวมระบบรถไฟฟ้าและระบบรถเมล์ ผ่านร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เสนอโดยสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ซึ่งตอนนี้ผ่าน กมธ. แล้ว กำลังรอเข้าสภาวาระที่ 2 ข้อดีของค่าโดยสารร่วม (Common Fare) คือผู้เดินทางไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน สามารถเดินทางข้ามสายหรือข้ามระบบ (เช่นจากรถไฟฟ้าไปรถเมล์) อย่างไร้รอยต่อ ทั้งหมดนี้ราคาไม่เกิน 45 บาท ถ้ากฎหมายผ่าน จะมีตั๋วร่วม (Common Ticket) หรือตั๋วใบเดียวที่ใช้ได้ทุกขนส่งสาธารณะเพื่อความสะดวก ประชาชนไม่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปฯ ให้วุ่นวายยุ่งยาก

นโยบายพรรค ปชน.คาดว่าใช้ 7,000 ล้านบาทต่อปี เงินอุดหนุนส่วนมากไปช่วยระบบรถเมล์ซึ่งฐานผู้ใช้มีรายได้น้อยกว่ารถไฟฟ้า ในส่วนรถไฟฟ้า ไม่เอื้อนายทุนเพราะอยู่บนฐานของสัมปทานเดิม (15-45 บาท) ช่วยอุดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน

วันเดียวกัน มีรายงานว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลางชุดที่ 26 ของสำนักงาน กกต. ซึ่งรับผิดชอบคดีฮั้ว สว. นัดประชุมในวันที่ 17 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่ขอขยาย โดยไม่พบว่าจนถึงขณะนี้คณะกรรมการสืบสวนได้มีการขอขยายเวลาการสอบสวนเพิ่มเติมต่อ กกต.อีก จึงมีความเป็นไปได้ว่าการประชุมในวันดังกล่าวคณะกรรมการสืบสวนฯ จะมีการสรุปสำนวนว่าตามพยานหลักฐานเห็นควรที่ กกต.จะดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. 2561 มาตรา 77(1) ประกอบมาตรา 62 กับผู้ใดบ้าง

เลขาธิการ กกต.จะต้องมีความเห็นต่อสำนวนใน 60 วัน และสามารถสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมได้ มีรายงานว่านายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. จะมอบให้รองเลขาธิการ กกต.เป็นผู้ให้ความเห็นแทนเนื่องจากตนเองเป็น ผอ.เลือก สว.ระดับประเทศ จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียต่อเรื่องดังกล่าว