มท.1คาดโทษเยียวยาล่าช้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ช่วยเหลือ ปชช.ในศูนย์พักพิงชั่วคราว 7 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบเหตุสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา "ภูมิธรรม" สั่ง "2 ว่าที่อธิบดี ปค.-สถ." เร่งรัดเยียวยา ชี้หากล่าช้าถือว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง "รัฐบาล" จัดงบเร่งด่วนให้จังหวัดละ 100 ล้านบาท พร้อมเพิ่มอีก 100 ล้าน ให้ ปภ.ดูแลผู้บาดเจ็บเสียชีวิต เผยยอดชาวบ้านเดือดร้อน 839,935 คน จาก 278,506 ครัวเรือน ใน 42 อำเภอ 7 จังหวัด
เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2568 เพจกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์การสู้รบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นายกกิตติมศักดิ์และประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ทรงห่วงใยราษฎร โดยได้พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งผ่านมูลนิธิชัยพัฒนา ให้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจและสอบถามความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และได้พระราชทานความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.2568
พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่ศูนย์พักพิงชั่วคราวจำนวน 7 แห่ง ในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ และพระราชทานเงินจากมูลนิธิชัยพัฒนาแก่ศูนย์พักพิงชั่วคราวอีก 4 แห่ง ในจังหวัดศรีสะเกษ ในการจัดสร้างห้องน้ำและห้องอาบน้ำชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนจำนวนมากที่มาพักในศูนย์พักพิงชั่วคราว รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ประจำวัน ความต้องการด้านสาธารณสุข เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ตลอดจนอุปกรณ์การเรียนและของเล่นสำหรับเด็กๆ ในช่วงที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน ได้พระราชทานห้องน้ำสำเร็จรูปไฟเบอร์กลาส ซึ่งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCG) น้อมเกล้าฯ ถวาย จำนวน 4 ห้อง แก่ศูนย์พักพิงชั่วคราว อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ เพื่อให้ราษฎรได้ใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ ได้พระราชทานความช่วยเหลือเป็นข้าวสารอาหารแห้งแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ในอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
พระมหากรุณาธิคุณในความช่วยเหลือที่พระราชทานในครั้งนี้ เป็นขวัญและกำลังใจแก่ราษฎรให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันและฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ขอจงทรงพระเจริญ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เรียกนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ว่าที่อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) และ ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ ว่าที่อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อกำชับการดูแลเยียวยาประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพในพื้นที่ 7 จังหวัด
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ได้มอบหมายให้ 2 ว่าที่อธิบดีดูแลประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพในพื้นที่ 7 จังหวัด ซึ่งมีอยู่ 733 แห่ง มีประชาชนทั้งสิ้น 187,974 คน โดยขอให้ดูแลให้ครบถ้วนในเรื่องปัจจัย 4 ส่วน เรื่องที่ประสบปัญหาอยู่ก็ให้เร่งแก้ไข โดยบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ให้ สถ.ตรวจสอบประมาณค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านเรือน จะให้ใช้จ่ายจากเงินบริจาคที่ประชาชนบริจาคให้ ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของทำเนียบรัฐบาล ที่สามารถดำเนินการได้เร็ว รวมถึงให้ประสานงานระดมนักเรียนอาชีวะในเขตจังหวัดเข้าไปซ่อมแซมดูแล และจัดเจ้าหน้าที่ทหารส่วนหนึ่งไปช่วยดูแล โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน หลังจากที่มีการหยุดยิงเรียบร้อย
"การให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป มีงบรายการที่ต้องจ่ายในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้มีงบตั้งจ่ายอยู่ที่จังหวัดละ 50 ล้านบาท แต่ได้มีการขยายเป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาทแล้ว และจะเร่งรัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประเมินความเสียหาย หากไม่เร่งรัดจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง" นายภูมิธรรมกล่าว
ขณะที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงถึงการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาว่า มี 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การดูแลพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด กระทรวงมหาดไทยได้ระดมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกว่า 10,000 นาย ครอบคลุมพื้นที่ 22 อำเภอ 63 ตำบล 335 หมู่บ้านในแนวชายแดน 7 จังหวัด เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย และร่วมกับตำรวจในพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
2.ตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบ ขณะนี้มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้ว รวม 839,935 คน จาก 278,506 ครัวเรือน ใน 42 อำเภอของ 7 จังหวัด โดยมีผู้เสียชีวิต 16 ราย บาดเจ็บ 38 ราย และมีการประกาศเขตภัยพิบัติแล้วใน 36 อำเภอ 238 ตำบล 2,702 หมู่บ้าน รัฐบาลได้จัดสรรงบช่วยเหลือเร่งด่วนจังหวัดละ 100 ล้านบาท และเพิ่มอีก 100 ล้านบาท ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมสั่งการให้ทุกจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหายและดำเนินการจ่ายชดเชยโดยเร็ว และ 3.รัฐบาลยังเปิดสายด่วน 1567 ให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสามารถแจ้งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่เข้าดูแลโดยตรง
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ผลประโยชน์และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ โดยขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ทุกคน รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งใคร และฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติ ดูแลพื้นที่ เร่งเยียวยาประชาชนโดยเร็วที่สุด” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกระแสข่าวโรงพยาบาลไทยไม่รับผู้ป่วยจากประเทศกัมพูชาว่า เราไม่มีการปฏิเสธการรักษา อย่างกรณีของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานีนั้น มีแต่คนไข้ในที่เป็นชาวกัมพูชาและยังรักษาอยู่ ไม่ได้มีการให้เขาออกจากโรงพยาบาลหรือไล่เขาไป ซึ่งโรงพยาบาลยังดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวคือล่ามที่เป็นชาวกัมพูชาแล้วมาปฏิบัติหน้าที่ที่โรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย
“หากมีชาวกัมพูชาที่ป่วยฉุกเฉินและต้องการเข้ามารักษาที่ประเทศไทย เราก็รับได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน” นายสมศักดิ์กล่าว
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 8 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานการประชุม นายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายภูมิธรรม ซึ่งได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย มาตอบกระทู้แทน กรณีการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
นายธนากล่าวว่า สิ่งที่ได้พบเจอ 7 วันที่ผ่านมา ยังไม่มีงบของส่วนกลางลงพื้นที่เลยแม้แต่บาทเดียว ที่บอกว่าอนุมัติแล้วทุกวันนี้อาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และบางที่เบิกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รัฐบาลนอนหลับได้อย่างไร ขอถามไปยังรัฐบาล เงินเยียวยาที่จะมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ หากเทียบกับในภาคใต้แล้ว มอบให้กับประชาชนที่เสียชีวิตถึง 7 ล้านบาท แต่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มอบให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1 ล้านบาท ส่วนครอบครัวผู้อพยพดูแลครอบครัวละ 3,000 บาท ซึ่งหนึ่งครอบครัวประกอบด้วยคนมากกว่า 10 คน จะเพียงพอหรือไม่
น.ส.ธีรรัตน์ชี้แจงว่า ระเบียบการเยียวยามีการอนุมัติงบประมาณไปแล้ว 100 ล้านบาท เป็นการอนุมัติเงินลงไปทันที และทุกหน่วยงานรับทราบดีว่า เงินจำนวนนี้คือกรอบวงเงินที่เขาสามารถใช้ได้ และการจัดซื้อหรือการอนุมัติเรื่องต่างๆ ก็เป็นอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่สามารถดำเนินการได้ทันที หากยังมีอะไรที่ติดระเบียบไม่สามารถทำได้ เราก็มีการขอให้เพิ่มเติมเรื่องการงดใช้หลักการนั้นๆ เพื่อให้สามารถใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นายธนากล่าวอีกว่า ได้รับการร้องเรียนมาจาก สส.ในจังหวัดอุบลราชธานีว่า ว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี อ้างระเบียบในการเบิกจ่ายงบประมาณ เบิกไม่ได้เพราะกลัวติดคุก อย่างไรก็ตาม น.ส.ธีรรัตน์ได้ต่อสายถึงผู้ว่าฯ อุบลราชธานี ในห้องประชุมสภาทันที เพื่อให้ตอบคำถามถึงการอ้างระเบียบในการเบิกจ่ายงบประมาณ ด้านว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ได้ยืนยันผ่านทางโทรศัพท์ว่า สามารถเบิกจ่ายงบประมาณทันทีได้ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน.