ม.หอการค้าไทยประเมินภาษีทรัมป์ 19% ฉุดส่งออกไทยปี 69 หาย 2.7 แสนล้านบาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากกรณีที่สหรัฐ ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ไทยในอัตรา 19% ว่า การที่ประเทศไทยได้อัตราภาษีที่ 19% ถ้าเทียบกับคู่แข่งยังมองว่าเราไม่ได้เสียเปรียบ โดยการเจรจาครั้งนี้มองว่าเป็นการเจรจาในอัตราภาษีสหรัฐเป็น 0% ในขณะที่ประเทศอื่นจะต้องมีการเสียภาษีนำเข้า ซึ่งมีการกำหนดที่แตกต่างกันไป
โดยสิ่งที่จะต้องติดตาม และให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้วัตถุดิบการผลิตเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ ยังมีรายละเอียดที่ชัดเจน แต่จากการประเมินเบื้องต้นหากเป็นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 50% การใช้วัตถุดิบในกลุ่มภูมิภาคประมาณ 40% หรือไม่
สำหรับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ 19% ทางศูนย์ฯ ประเมินว่า ในด้านการแข่งขันของไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง โดยกลุ่มที่ได้เปรียบไทย มีเพียงสิงคโปร์ที่ได้อัตราภาษี 10% รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับอัตราภาษี 15% สำหรับสินค้าที่ไทยเสียเปรียบประกอบด้วยแผงวงจรรวมขั้นสูง ,เคมีภัณฑ์ขั้นสูงแผงวงจรรวม และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกล และเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง
ขณะที่ไทยได้เปรียบ คือ เวียดนาม ไต้หวัน ได้อัตราภาษี 20% อินเดีย ได้อัตราภาษี 25% และจีนได้อัตราภาษี 51% โดยสินค้าที่ได้เปรียบคือ สมาร์ตโฟน และอุปกรณ์โทรคมนาคม รองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม อัญมณี และเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เคมี และพลาสติก เครื่องจักรกล และอุปกรณ์การผลิต อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และคอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด
ส่วนผลกระทบจากภาษี 19% ต่อเศรษฐกิจไทยแยกเป็น 3 ส่วน คือ ทางตรง ทางอ้อม และการเบี่ยงเบนทางการค้า ประกอบด้วย 1.ผลกระทบทางตรงต่อไทยในการส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐลดลง 5 อันดับแรกได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ โลหะสามัญ และผลิตภัณฑ์จากโลหะ อาหารแปรรูป และเครื่องดื่ม และยานพาหนะ เนื่องจากมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐสูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐ ค่อนข้างมาก
2.ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลกภายใต้ Global Value Chains (GVCs) and Trade in Value Added (TiVA) ทั้งการที่จีนส่งออกไปสหรัฐ ไทยส่งออกวัตถุดิบให้ 3 ประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ คือ แคนาดา เม็กซิโก และจีน เพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกไปสหรัฐ
3.ผลกระทบจากการเบี่ยงเบนการค้า (Trade Diversion Effects)ทั้งจากส่วนแบ่งตลาดที่เปลี่ยนแปลง และมูลค่าที่เปลี่ยนแปลง
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบภาษี 19%ในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อส่งออกไทยราว 114,612 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 0.62% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 106,518 ล้านบาท , ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 26,978 ล้านบาท แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 18,884 ล้านบาท
“ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2569 ซึ่งเป็นผลกระทบเต็มปีคาดว่าจะมีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก 275,069 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 1.48% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 255,643 ล้านบาท , ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 64,747 ล้านบาท แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 45,322 ล้านบาท “นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งโลกโดนภาษีทรัมป์ไม่มาก แม้ว่าจีนจะโดนภาษีทรัมป์ 51% แต่ก็ยังมีเวลาในการเจรจา ทำให้มีการประเมินว่า จีดีพีทั้งโลกปี 68 น่าจะโต 2.5% ตามที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้ และปี 69 จีดีพีโลกจะโต 2.6% ทำให้ ม.หอการค้ามองว่า เศรษฐกิจโลกไม่กระทบมากจากภาษีทรัมป์
ดังนั้นการส่งออกไทยน่าจะชะลอไม่มาก ส่วนการท่องเที่ยวไทย เชื่อว่าทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยอยู่ที่ประมาณ 34 ล้านคน การเมืองไทยยังมีเสถียรภาพ มีการเบิกจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และงบประมาณปี 69 ผ่านทำให้ ม.หอการค้ายัง คงเป้าหมายจีดีพีทั้งปีไว้ที่ 1.5-2% โดยมีค่ากลางอยู่ที่1.7%
ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 6 มาตรการ ได้แก่ ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ, เสริมสร้างกฎแหล่งกำเนิดสินค้า, กระจายตลาด ส่งออก, ดึงดูดการลงทุนโดยตรงที่มูลค่าสูง, ส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศ, และดำเนินการทูตเพื่อการค้าในเชิงรุก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์