นักวิเคราะห์ชี้ “ภาษีทรัมป์” เฉลี่ยพุ่ง 15.2% สูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ฉุดจีดีพีสหรัฐร่วง 1.8%
นักวิเคราะห์ชี้ "ภาษีทรัมป์" เฉลี่ยพุ่ง 15.2% สูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จ่อฉุด GDP สหรัฐหดตัว 1.8% เงินเฟ้อพุ่ง 1.1% ใน 2-3 ปี เตือนประเทศคู่ค้าทั่วโลกเผชิญแรงกดดันรุนแรงจากอุปสงค์ที่ถดถอย
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 09.14 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตามการวิเคราะห์ของ Bloomberg Economics มาตรการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่ประกาศโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม
มาเอวา คูแซง (Maeva Cousin) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านการค้าของ Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า ภาษีศุลกากรที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ ซึ่งอยู่ในช่วง 10-41% และถือเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จากระดับ 2.3% ในปี 2567
การเพิ่มขึ้นของภาษีดังกล่าวอาจทำให้ GDP ของสหรัฐลดลง 1.8% และทำให้อัตราราคา (core inflation) เพิ่มขึ้น 1.1% ภายในระยะเวลา 2–3 ปี ขณะเดียวกันภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะลดความต้องการบริโภคและการค้าในประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม
ทั้งนี้ตัวเลขคาดการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทจะยอมดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไว้ในส่วนกำไรของตนเองมากน้อยเพียงใด หรือจะผลักภาระไปยังผู้บริโภคในรูปแบบของราคาที่สูงขึ้น
การประเมินผลกระทบยังขึ้นอยู่กับว่า สหรัฐจะดำเนินการตามที่ประกาศไว้หรือไม่ รวมถึงความต่อเนื่องของข้อตกลงภาษีรถยนต์กับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากการเจรจากับจีนที่ยังดำเนินอยู่ และยังมีภาษีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์โดยรวมเปลี่ยนไปได้
“ภาษีเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ GDP โลก …สำหรับหลายประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ภาษีที่สูงขึ้นจะสร้างแรงกดดันต่อความต้องการในประเทศ ซึ่งจะส่งผลลบต่อทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ”
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือจีน ซึ่งยังคงเผชิญกับภาษีหลากหลายประเภท รวมถึงอัตรา 20% ที่เชื่อมโยงกับสารเฟนทานิล และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอัตราภาษีแบบตอบโต้พุ่งขึ้นถึง 39% สูงกว่าระดับเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568
อย่างไรก็ตามยังมีจุดที่พอจะมองในแง่ดีได้บ้าง นั่นคือช่วงเวลา 7 วันก่อนภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งเปิดโอกาสให้บางประเทศสามารถกลับมาเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีของตนลงได้อีกครั้ง
อ้างอิง : www.bloomberg.com