เปิดสาเหตุทำไมไทยปลูกถั่วเหลืองน้อย ต้องพึ่งนำเข้าถึง 99%
อีกไม่กี่วันจะถึงเส้นตาย 1 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯ อาจเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทีมการค้าสหรัฐฯ เริ่มต้นเจรจาการค้ากับไทยและกัมพูชาอีกครั้ง หลังทั้งสองประเทศตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข
หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองคือข้อแลกเปลี่ยนด้านภาษีกับการเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบเกษตรกรไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต ขณะที่ข้อเสนอจากหลายภาคส่วนระบุว่า หากต้องยอมเปิดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ควรเลือกเฉพาะสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องพึ่งพา เช่น ถั่วเหลือง ที่ไทยผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ
ไทยนำเข้าถั่วเหลืองกว่า 99%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยข้อมูลเชิงลึกถึงความเปราะบางของไทยต่อการนำเข้าถั่วเหลือง โดยระบุว่า ปัจจุบันไทยนำเข้าถั่วเหลืองมากถึง 99% ของความต้องการใช้ในประเทศ ขณะที่ผลิตเองได้เพียง 1% เท่านั้น หากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาในสัดส่วนที่มากขึ้น จะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะราคาสูงกว่าการนำเข้าจากบราซิล
พื้นที่ปลูกถั่วเหลืองในประเทศลดต่อเนื่อง
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ชี้ว่า พื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองในไทยมีน้อยมาก คิดเป็นเพียง 0.04% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด โดยในปี 2564-2565 มีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 83,553 ไร่ ลดลงเหลือ 64,422 ไร่ในปี 2566-2567 และคาดว่าจะเหลือเพียง 60,148 ไร่ในปี 2568 หรือลดลงกว่า 4.1% จากปีก่อนหน้า
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่ปลูกถั่วเหลืองลดลง ได้แก่ ต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตต่ำ และผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น และราคายังผันผวนในตลาดโลก อีกทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย และใช้แรงงานเก็บเกี่ยวจำนวนมาก
ไทยนำเข้าถั่วเหลืองเฉลี่ยมากกว่าผลิตเองถึง 182 เท่า
ในช่วงปี 2563-2567 ไทยผลิตถั่วเหลืองได้เฉลี่ยปีละ 0.02 ล้านตัน ขณะที่นำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.57 ล้านตัน หรือมากกว่าการผลิตเองถึง 182 เท่า โดยเฉพาะความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองเป็นหลัก
ความต้องการใช้ถั่วเหลืองของไทยเพิ่มต่อเนื่อง
ปี 2565 ไทยมีความต้องการใช้ถั่วเหลือง 3.04 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 ล้านตันในปี 2566 และคาดว่าพิ่มเป็น 3.52 ล้านตันในปี 2567 โดยใช้เพื่อสกัดน้ำมันมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 77.96% รองลงมาคือการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ 22% และอื่น ๆ เพียง 0.04%
แนวโน้มพึ่งพาสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนสูงกว่าบราซิล
เดิมที ไทยนำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลเป็นหลัก คิดเป็น 65% ของสัดส่วนรวมในช่วงปี 2562-2564 ขณะที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เพียง 34% แต่ในช่วงปี 2565-2567 สัดส่วนการนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 12% ขณะที่บราซิลเพิ่มขึ้นเป็น 85%
ทั้งนี้ ราคานำเข้าจากสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 604 ดอลลาร์ต่อตัน สูงกว่าบราซิลที่ 590 ดอลลาร์ต่อตัน และสูงกว่าราคาจากไทยเอง ซึ่งอยู่ที่ 562 ดอลลาร์ต่อตัน (เป็นราคาที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา)
ผลจากการนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจต้องจ่ายแพง
อย่างไรก็ตาม ตามการคาดการณ์ของ KResearch ระบุว่าหากไทยต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มากขึ้น จะต้องจ่ายแพงกว่าการนำเข้าจากบราซิลถึง 14 ดอลลาร์ต่อตัน โดยจะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม และอาจกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน เพราะอุตสาหกรรมนี้เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคหลายประเภท
นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อเกษตรกรไทยที่ปลูกถั่วเหลือง ซึ่งมีจำนวนเพียง 14,155 ครัวเรือน หรือคิดเป็น 0.34% ของครัวเรือนผู้ปลูกพืชทั้งประเทศ
ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า ไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะถั่วเหลือง เนื่องจากการผลิตในประเทศมีปริมาณน้อยมาก ปัจจุบันไทยผลิตถั่วเหลืองได้เพียงปีละหลักหมื่นตัน ขณะที่ปริมาณการนำเข้าอยู่ในระดับหลายล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีแนวคิดสนับสนุนให้เกษตรกรในประเทศปลูกถั่วเหลืองเพิ่ม แต่ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่และสภาพแวดล้อม ทำให้การเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 3–5 ล้านตันยังเป็นเรื่องยาก จึงจำเป็นต้องนำเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันแหล่งนำเข้าหลัก ได้แก่ บราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในภูมิภาคอเมริกาใต้
หากสามารถเปิดตลาดนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ได้หลากหลายมากขึ้น จะช่วยสร้างการแข่งขันและอาจทำให้ต้นทุนวัตถุดิบในประเทศลดลง ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์โดยรวม ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวทางนโยบายและประกาศจากภาครัฐ โดยเฉพาะช่วงก่อนวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งเริ่มมีสัญญาณความชัดเจนในบางประเด็นปรากฏออกมาแล้ว
โดยสรุปแล้ว แม้ผลผลิตถั่วเหลืองในประเทศจะมีเพียงพอต่อความต้องการบางส่วน แต่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ซึ่งหากพึ่งพาสหรัฐฯ มากขึ้น อาจเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุนที่สูงขึ้น และส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อเศรษฐกิจ ครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ