จังหวะก้าว ‘แม่ทัพภาค 1-แม่ทัพภาค 5’
"ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" มอตโตสุดคลาสสิกที่ถูกนำมาเปรียบเปรยการกระทำของ "ตำรวจ" ในทุกยุค ทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่การแต่งตั้ง "นายพล" วาระระดับ รอง ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติ ลงมาถึง ผบก. วาระประจำปี 2568 ที่เพิ่งผ่านบอร์ดกลั่นกรอง หรือ คณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ตร. ที่มี บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี นั่งหัวโต๊ะ ร่วมกับ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. และ
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ไปเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังใช้เวลาตรวจคุณสมบัติแบบเข้มงวด ตามกฎ ก.ตร. ตามระเบียบ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 นานกว่า 10 ชม. แต่พอวงประชุม ก.ตร.ที่เดิมคาดกันไว้น่าจะเป็นวันที่ 22 ส.ค.ไม่ใช่ฤกษ์ดี ดูท่าก็เหลือเพียงสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือน ส.ค.นี้ ตามข้อกำหนดที่ต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ส.ค.ของทุกปี ที่จะต้องมีการประชุม ก.ตร. ปรากฏว่าเมื่อยังไม่มีการประชุม ก.ตร. แต่รายชื่อจากบอร์ดกลั่นกรองหลุดออกมาบ้างแล้ว ก็เลยทำให้กรมปทุมวัน "ฝุ่นตลบ" เกิดกระแสสะพัด "แก้โผ" จนหลายคนไม่เป็นอันทำงาน ต้องเช็กข่าวกันให้วุ่น
เก้าอี้ที่ถูกจับตา โฟกัสไปที่ "ผู้บัญชาการ" หรือ "ผบช." และ "ผู้บังคับการ" หรือ "ผบก." ที่ถือเป็นตำแหน่งหลัก ตำแหน่งสั่งการ บางคนได้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งหนึ่งก็ไม่พอใจไปวิ่งต่อ อยากขยับไปตำแหน่งที่ดีขึ้น หรือบางคนชื่อหลุด ชื่อร่วง ก็ต้องทุ่มสุดกำลังช่วงโค้งสุดท้าย เพราะตราบใดที่วงประชุม ก.ตร.ยังไม่มีการตีตราประทับ ทุกชื่อ ทุกตำแหน่ง ก็ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป ยิ่งตำแหน่ง "ผบช." และ "ผบก." ตามกฎ ตามระเบียบ ตามเกณฑ์พิจารณาจากตามลำดับอาวุโส 50% ของตำแหน่งว่าง อีก 50% ยึดอาวุโส ความรู้ ความสามารถ และผลงานเป็นที่ประจักษ์ "นักวิ่ง" ย่อมมีความหวัง แม้จะต้องฝ่าฟันกำแพงเหล็ก ก.ตร. แต่ที่ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องรอเซอร์ไพรส์ น่าจะเป็นเก้าอี้ รอง ผบ.ตร.ที่ว่าง 2 เก้าอี้ บิ๊กราญ-พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 1 ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. และ บิ๊กแมน-พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง จตช. อาวุโสลำดับ 3 ขึ้นเป็น จเรตำรวจแห่งชาติ แทน พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 2 ที่ถูกแพทยสภาชี้มีความบกพร่องทางจริยธรรมจากปมชั้น 14 น่าจะต้องถูกแขวนเอาไว้รอการสอบสวนก่อน แล้วค่อยมาขอเปิดตำแหน่งภายหลังการสอบสวนเสร็จสิ้น
เช่นเดียวกับ ผบช. ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าง 7 ตำแหน่ง เลื่อนขึ้นเรียงตามอาวุโส 100% ประกอบด้วย อาวุโสลำดับ 1 พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 อาวุโสลำดับ 2 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. อาวุโสลำดับ 3 พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7 อาวุโสลำดับ 4 พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผบช.สง.ก.ตร. อาวุโสลำดับ 5 พล.ต.ท.อุดร ยอมเจริญ ผบช.ส. อาวุโสลำดับ 6 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 ส่วน พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ถูกแพทยสภาชี้มีความบกพร่องทางจริยธรรมจากปมชั้น 14 ก็จะถูกข้ามไปเพื่อรอผลการสอบสวน แต่ก็ยังได้นั่งเก้าอี้นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจตามเดิม แล้วขยับอาวุโสลำดับ 8 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแทนที่ ทั้งบัญชีรอง ผบ.ต.และผู้ช่วย ผบ.ตร. จากบอร์ดกลั่นกรองนี้ ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
เป็นการออกมาพูดครั้งแรกของ "แม่ทัพใหญ่" พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 หลังถูกโจมตีแก้ไขปัญหาชายแดนได้ไม่ถึงลูกถึงคนเท่ากับ “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปิดจ๊อบหลังเจรจาหยุดยิงด้วยการนำกำลังทหารเข้าควบคุมพื้นที่เหนือเส้นปฏิบัติการ 11 จุด ขับไล่ทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยไปได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยเอาไปเปรียบเทียบกับพื้นที่ชายแดนด้านตะวันออก ซึ่ง “กัมพูชา” รุกล้ำแผ่นดินไทยเข้ามาในพื้นที่ควบคุมของกองกำลังบูรพา บริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้วมาหลายปี แต่ไม่สามารถใช้ช่วงจังหวะเวลาสู้รบผลักดันกลับไปได้ โดยแม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่ามีการรื้อทำลายสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาที่รุกล้ำเขตไทยหลายจุด แต่พื้นที่บ้านหนองจานเป็นชุมชนของ "พลเรือน" ที่รุกเข้ามาฝั่งไทยกว่า 200 หลังคาเรือน สภาพพื้นที่ต่างจากกองทัพภาคที่ 2 พร้อมมีรายงานว่า ณ วันที่บรรลุข้อตกลงหยุดยิงตอนเที่ยงคืน กองทัพภาคที่ 1 ซึ่งจัดกำลังจาก ร.12 รอ. และ พล.ร.11 เข้าสนับสนุนได้เข้าคุมพื้นที่โดยรอบที่ตั้งฐานทหารกัมพูชาได้ประมาณ 120 ไร่ กินพื้นที่อาณาเขตบ้านเรือนราษฎรกัมพูชาประมาณ 70 หลังคาเรือน
วิเคราะห์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ เชื่อมโยงกับเป้าใหญ่คือ “รุ่นพี่ทหารเสือราชินี” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังถูกจัดให้อยู่ในขั้วของรัฐบาล และทุนใหญ่ โดยตั้งสมมุติฐานว่าอาจสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 1 "ติดเบรก" ในการจัดหนักกัมพูชา ประกอบกับ "การเมือง" ที่กำลังชุลมุน บางพรรคการเมืองจับมือกับสื่อในการเดินเข้าฮอสเป็นนายกฯ เริ่มปรากฏภาพชัดเจนขึ้น ยิ่ง “แม่ทัพใหญ่” อยู่ในสถานะที่เครือข่ายในกองทัพค่อนข้างน้อยจึงกลายเป็น "ตำบลกระสุนตก" ประกอบกับเตรียมทหารรุ่น 27 ที่เห็นอยู่ในกองทัพบกก็กระจัดกระจาย ส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ในแผง 5 เสือก็มีแค่ “เสธ.ต้อย” พล.ต.สุรวิชญ์ แดงจันทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 เพื่อนของแม่ทัพใหญ่ เป็นกำลังสำคัญในการประชุมระดับกองเลขานุการ ของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา หรืออาร์บีซี โดย เสธ.ต้อย ทำหน้าที่เป็นประธานเลขาฯ ฝ่ายไทย เจรจากับฝ่ายกัมพูชาจนถึงช่วงตีสอง ก่อนที่จะลงนามในแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการในการประชุมวงใหญ่ของระดับแม่ทัพในวันถัดมา
เตรียมเคาะ “โผทหาร” รอบแรกในระดับบอร์ดโยกย้ายสัปดาห์หน้า โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมเป็นประธาน จึงมีการโฟกัสว่าเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 จะมีการขยับปรับเปลี่ยนหรือไม่ เพราะมีหลายปัจจัยที่ ทบ.1 คงต้องนำมาขบคิด โดยเฉพาะสมการปีที่เหลือของการดำรงตำแหน่ง รวมถึง “พลังหนุน” จากทุกฝ่ายที่กำลังฝุ่นตลบอยู่ในขณะนี้ เพราะ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.เหลืออายุราชการอีก 2 ปี การปรับเหล่าบรรดาแคนดิเดตเข้ามา “นั่งแช่” ที่กองทัพบก 2 ปี อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้องพิจารณา แต่คาดกันว่าจังหวะขึ้นสู่ตำแหน่งของ “แม่ทัพใหญ่” ในการสืบเท้าย่างสามขุมเข้า 5 เสือ ทบ.ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับ “ผบ.เต้” พล.ท.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เปรียบเหมือนแม่ทัพภาคที่ 5 ซึ่งเหลืออายุราชการถึงปี 2571 พร้อมกัน เริ่มที่เส้น START เท่ากัน ส่วนจะเป็นโยกย้ายครั้งนี้หรือครั้งหน้าก็ค่อยว่ากัน