ไทยผลิต-ไทยใช้ 'นวัตกรรมไทย' ส่งออกหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
สตาร์ตอัป “MUTHA” นวัตกรรมขาเทียมเพื่อผู้พิการ และ“METICULY” นวัตกรรมกระดูกเทียมไทเทเนียม เพื่อการผ่าตัดกะโหลกศีรษะและกระดูกใบหน้าเฉพาะบุคคลด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ 2 บริษัท Spin-off ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "นวัตกรรมทางการแพทย์”ที่ผลิตโดยคนไทยมีคุณภาพทัดเทียมต่างประเทศผ่านการรับรองมาตรฐานสากลในต่างประเทศ และส่งออกไปตลาดต่างประเทศนำรายรับกลับมาช่วยจุนเจือให้คนไทยได้ใช้ของดีในราคาถูก
หากได้รับการส่งเสริมนำมาใช้ภายในประเทศ จะสามารถลดการนำเข้าและสร้างงานสร้างรายได้ ทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้อีกด้วย ที่สำคัญหากมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานสากลภายในประเทศ จะช่วยเร่งให้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของคนไทยสามารถนำมาใช้งานได้จริงและลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ ซึ่งปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายในการส่งชิ้นงานไปรับรองในต่างประเทศสูงและใช้เวลานาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
โตสวนกระแส! เศรษฐกิจไทยโตต่ำ ‘ศัลยกรรมไทย’สู่ Medical Hub เอเชีย
ซัพพอร์ต ‘คนทำงานดูแลผู้สูงอายุ’ ลดอุปสรรค แก้ปัญหาภาวะหมดไฟ
กระดูกเทียมไทเทเนียมเฉพาะบุคคล
ปี 2560 Meticuly ก่อตั้งโดย ผศ.ดร.เชษฐา พันธ์เครือบุตร และ รศ.ดร.บุญรัตน์ โล่ห์วงศ์วัฒน จากภาควิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คิดค้นการผลิตกระดูกเทียมไทเทเนียม ที่ต่อยอดมาจากผลงานวิจัย แก้ปัญหาทางการแพทย์ที่ไม่สามารถใช้กระดูกเทียมแบบมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้ในทุกกรณี เนื่องจากสรีระร่างกายผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกัน
เมติคูลี่ เป็นการผสมผสานศาสตร์ของวิศวกรรมในการช่วยแก้ปัญหาให้กับทางการแพทย์ โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์โลหะ 3 มิติ (Metal 3D Printing) ออกแบบและผลิตกระดูกเทียมไทเทเนียมเฉพาะบุคคล (Patient-specific implant)พัฒนาจาก “การปรับผู้ป่วยให้เข้ากับกระดูกเทียม” ไปสู่ “การสร้างกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลที่พอดีกับผู้ป่วยแต่ละราย” โดยใช้ข้อมูลการสแกนภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ของผู้ป่วยเป็นข้อมูลในการออกแบบ
ผศ.ดร.เชษฐา กล่าวว่ากระบวนการเดิมในการใช้กระดูกเทียมมาตรฐานจากต่างประเทศมักไม่พอดีกับสรีระคนไทย ทำให้ต้องมีการตัดแต่งกระดูกและมีความเสี่ยงติดเชื้อสูง การใช้เทคโนโลยี AI ในการออกแบบกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลจากข้อมูล CT Scan ลดเวลาการออกแบบจากหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่นาที และใช้การพิมพ์ 3 มิติด้วยเลเซอร์ในการสร้างกระดูกไทเทเนียมที่มีความแม่นยำสูง สามารถออกแบบและผลิตกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลได้ภายในเวลาเฉลี่ย 3 วัน นับตั้งแต่การสแกน CT Scan จนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งาน ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. ทั้งของไทย สหรัฐ และยุโรป ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ผลิตกระดูกเทียมไทเทเนียม มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 2,400 เคส
ปัจจุบันผลิตกระดูกเทียมไทเทเนียมและมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 2,400 เคส ครอบคลุมอวัยวะต่างๆ เช่น กะโหลกศีรษะ สะโพก มือ และเท้า กรณีศึกษาผู้ป่วยสมองแตกและผู้ป่วยสะโพกบาดเจ็บ และร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราชในการจัดตั้ง ‘หน่วยผลิต’ เพื่อลดระยะเวลาและเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงการรักษา นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลระดับโลกจาก WIPO ในฐานะบริษัทไทยบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่นำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ได้จริง
“บริษัทเป็น spin-off หรือสตาร์ตอัปที่ก่อตั้งมา 8 ปี ใช้เวลาในการพัฒนาและอนุมัติมาตรฐาน(5 ปีสำหรับมาตรฐาน, รวม 8 ปี)ทำให้มีค่าใช้จ่ายและเวลาสูงในการขอรับรองจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังต้องผ่านกระบวนการขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลและการทดลองใช้งานจากแพทย์ผู้ชำนาญการ การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงต้องส่งเสริมนวัตกรรมไทย หากมีการสนับสนุนหน่วยงานรับรองมาตรฐานในประเทศ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ไทยเข้าถึงตลาดได้เร็วขึ้น”
บรรจุ3สิทธิคนไทยทุกคนเข้าถึง
ผศ.ดร.เชษฐา กล่าวว่ากระดูกเทียมไทเทเนียม ของ Meticuly ได้รับการบรรจุเข้าในสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายงานการวิจัยและผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับความต้องการทางด้านการแพทย์ในสาขาอื่น ๆ เช่น ทันตกรรม, ศัลยกรรมช่องปาก, และศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ในอนาคตต่อไป และต้นปีนี้เริ่มส่งออกได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศที่นำไปใช้ เช่น อังกฤษและสหรัฐ เพื่อนำรายรับจากการส่งออกกลับมาช่วยจุนเจือให้คนไทยได้ใช้ของดีในราคาถูก
“ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย.ไทย ทำให้เกิดความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของคนไทย และมาตรฐาน FDA สหรัฐจะมีการประเมินทุก 3 ปี และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา บริษัทยังมีระบบติดตามผลการใช้งานของผู้ป่วยทุกคนตามมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่ากระดูกเทียมจะอยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมของรัฐบาลจากการที่ไม่ต้องกลับมาผ่าตัดซ้ำอีกด้วย”
เท้าเทียม spaceเพื่อผู้พิการที่มีศักยภาพ
ส่วน MUTHA นวัตกรรมขาเทียมเพื่อผู้พิการ ที่มีการผลิตเท้าเทียมไดนามิก ก่อตั้งเมื่อปี 2563 โดย รศ.ดร.ไพรัช ตั้งพรประเสริฐ และ รศ.ดร.ชัญญาพันธ์ วิรุฬห์ศรี จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ โดย เท้าเทียม Dynamic sPace ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้พิการเท้าได้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติแล้ว แต่ยังเป็นการมอบกำลังใจให้เขาเหล่านั้นมีพลังที่จะเดินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
รศ.ดร.ไพรัช เล่าว่าเท้าเทียม space เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้พิการที่มีศักยภาพและช่วงวัยที่แตกต่างกัน มีการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่องเกี่ยวกับกระบวนการขึ้นรูป และผ่านมาตรฐาน ISO 10328 โดยเฉพาะการทดสอบความทนทาน 2 ล้านครั้ง ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ สามารถขยับข้อเท้าได้ทุกทิศทาง และมีแรงส่งที่ช่วยทดแทนกล้ามเนื้อเท้า ทำให้ผู้ใช้งานเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเท้าเทียมแบบไม้ทั่วไป เท้าเทียมที่พัฒนาใหม่นี้ช่วยเพิ่มวงก้าว ลดความเจ็บปวด และทำให้ผู้พิการสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน รวมถึงเล่นกีฬาและเดินบนพื้นผิวขรุขระได้อย่างคล่องตัว ราคาที่เข้าถึงได้และถูกกว่าสินค้านำเข้า 40%
ปัจจุบันได้มีการแจกจ่ายเท้าเทียมไปแล้วกว่า 640 ชุดทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานอื่นๆ ปัจจุบันเท้าเทียมนี้ได้เข้าสู่รายการสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แล้ว คาดว่าจะผลักดันให้ครอบคลุมถึงกองทุนประกันสังคมและสิทธิข้าราชการได้ในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ผู้พิการชาวไทยทุกคนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมนี้ได้
ขยายตลาดอาเซียน โรดโชว์อินเดียก.พ.69
"เท้าเทียมนี้เป็นนวัตกรรมของคนไทยที่ใช้วัสดุและกระบวนการผลิตในประเทศทั้งหมด จำหน่ายสำหรับผู้มีสิทธิ สปสช. 37,000 บาท และยังคงราคานี้สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีสิทธิ ปีที่แล้วมีรายได้ประมาณ 7 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายปีนี้ที่ 7 ล้านบาทเช่นกัน โดยส่วนใหญ่มาจากโครงการนำร่องคาดหวังจะเพิ่มยอดขายเป็นเท่าตัวเมื่อผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ สปสช. ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในปีงบประมาณหน้า ในอนาคตมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และตลาดอินเดีย ซึ่งมีจำนวนผู้พิการขาขาดสูงเพื่อให้ผู้พิการในภูมิภาคนี้ได้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสรีระ"
ทั้งนี้เชื่อว่าประเทศไทยสามารถแข่งขันด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในไทยมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย วัสดุสวยงาม และงานผลิตที่เนียนเทียบเท่าผลิตภัณฑ์ยุโรป โดยใช้บริการ OEM จากบริษัทร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีประสบการณ์มานาน และมีแผนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและประชุมวิชาการอย่างต่อเนื่อง เช่น ราชวิทยาลัยแพทย์แห่งประเทศไทยที่พัทยาในเดือนธ.ค. และงานเกี่ยวกับกายอุปกรณ์ที่อินเดียในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์และหาโอกาสทางการตลาด
“ตลาดอินเดียและอินโดนีเซียมีความน่าสนใจ แต่ราคาปัจจุบันยังสูงสำหรับตลาดเหล่านั้น จึงกำลังออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงฟังก์ชันการทำงานเดิม แต่ลดต้นทุนการผลิตลง 30-40% เพื่อทำราคาให้เหมาะสมกับตลาด”