จากปฐมวัยสู่แรงงาน...ส่องช่องว่าง-ทางออกพัฒนาทุนมนุษย์ไทย | วาระทีดีอาร์ไอ
สอดรับกับนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล Daron Acemoglu และ James Robinson ที่ระบุว่าประเทศจะมั่นคงต้องมีทั้งภาครัฐและประชาชนที่แข็งแรง ซึ่งส่วนสำคัญคือ การพัฒนาคนหรือ “ทุนมนุษย์” ดังนั้น เมื่อไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุยิ่งสะท้อนความจำเป็นในการทดแทน “ปริมาณ” ด้วย “คุณภาพ” ของวัยแรงงาน เพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทว่า…ไทยยังเผชิญอุปสรรคหลายประการในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตั้งแต่ต้นน้ำ เด็กไทยขาดการดูแลที่เหมาะสมในระดับปฐมวัยทั้งในด้านสุขภาพและพัฒนาการ กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า เด็กไทยอายุ 0-5 ปี 35% มีพัฒนาการไม่สมวัย 13% แคระแกร็น 6% ผอมแห้งและ 9% น้ำหนักเกิน
ปัญหาข้างต้นมักเกิดจากการให้ความช่วยเหลือทางสังคมที่ไม่ครอบคลุมและไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็ก การลาเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้าง รวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ที่ไม่เพียงพอหรือเข้าถึงได้ยาก ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบมากกับครอบครัวรายได้น้อย
นโยบายควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กโดยเร็วที่สุด กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ควรปรับเงินอุดหนุนเด็กให้เพียงพอ และถ้วนหน้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรขยายอายุรับเด็กเล็กเข้า ศพด. ให้ต่ำกว่า 2 ปีครึ่งและพัฒนา ศพด. ให้มีคุณภาพ ส่วนกระทรวงแรงงานควรขยายสิทธิการลาคลอดและส่งเสริมพื้นที่เลี้ยงดูบุตรในสถานที่ทำงาน
ปัญหาจากปฐมวัยส่งต่อถึงผลการศึกษาในวัยเรียน การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในไทย (MICS 2022) พบว่านักเรียน ป.2 เพียง 42% เท่านั้นที่มีทักษะภาษาและการคำนวณตามเกณฑ์
ส่วนคะแนน PISA ในปี 2565 พบว่าเด็กไทยมีคะแนนตกลงทุกวิชาจากปี 2561 และเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมด
สาเหตุของปัญหามักเกิดจากการขาดแคลนทรัพยากรในการเรียนและครู (โดยเฉพาะรร.ขนาดเล็ก) การขาดแรงจูงใจในการเรียน สภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย และความช่วยเหลือที่ไม่เพียงพอต่อกลุ่มเปราะบาง
มาตรการควรมุ่งยกระดับการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานถ้วนหน้าและมีคุณภาพ โดยเจ้าภาพหลักอย่าง สพฐ. ควรจัดสรรทรัพยากรการศึกษาตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ พัฒนาบุคลากรครูให้มีคุณภาพภายใต้หลักสูตรฐานสมรรถนะ จัดให้มีการเฝ้าระวังและรายงานความรุนแรงอย่างเหมาะสม
พัฒนากรอบแนวคิดแบบเติบโต (growth mindset) ร่วมกับจัดหาความช่วยเหลือทางการเงินอย่างครอบคลุมและเพียงพอ เช่นเงินอุดหนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และปรับการเรียนรู้ให้เอื้อต่อนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์และคนพิการ
เด็กไทยจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับระดับ ม.3 การสำรวจภาวะเศรษฐกิจสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2564 ระบุว่า มีเพียง 59% ของคนไทยอายุ 25-34 ปี จบการศึกษา ม.ปลายหรือสูงกว่า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนาแล้วที่ 86.2%
นอกจากนี้ เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอายุ 15-24 ปี ส่วนหนึ่งไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การทำงาน หรือการฝึกอบรม (NEET) คิดเป็น 12.8% หรือ 1.18 ล้านราย
สาเหตุมาจากความช่วยเหลือทางสังคมที่ไม่เพียงพอ เช่น ด้านการเงินที่อาจไม่สอดรับ “ค่าเสียโอกาส” ในการเรียนต่อแทนการทำงาน อุปสรรคอื่น ๆ ด้านภาษา การเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ของคนพิการ แม่วัยใส การจ้างงานในพื้นที่ซบเซา และการฝีกอบรมนอกโรงเรียนที่ไม่ตอบโจทย์
ความช่วยเหลือเพื่อลดการหลุดจากระบบการศึกษาจึงควรทำใน 2 มิติ ด้านการเงิน กสศ. กยศ. และศธ. ควรปรับให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้เพียงพอและครอบคลุมกับกลุ่มเปราะบาง
ส่วนในด้านอื่น ๆ ศธ. ควรปรับให้การเรียนการสอนมีความยืดหยุ่นสำหรับทุกคน พัฒนา growth mindset ของนักเรียน และป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่วนเยาวชนกลุ่ม NEET ควรได้รับชุดความช่วยเหลือจากการบูรณาการในระดับท้องถิ่นเพื่อออกแบบแนวทางการจัดการปัญหารายบุคคล
อย่างไรก็ดี แม้คนที่เรียนจบสูงก็ยังหางานให้ตรงกับที่ศึกษายาก มากถึง 56% ทำงานที่ไม่ตรงสาย และอีก 27% ทำงานใช้ทักษะต่ำกว่าวุฒิ ซึ่งเกิดจากความต้องการแรงงานทักษะสูงเติบโตช้า
ส่วนภาคการศึกษาก็ผลิตบัณฑิตออกมาจำนวนไม่ตอบสนองกับความต้องการของตลาดแรงงาน (ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่ให้ความสำคัญกับการแนะแนวเท่าที่ควร) อีกทั้งคุณภาพการศึกษายังถูกซ้ำเติมด้วยความเหลื่อมล้ำของงบประมาณและบุคลากร
การแก้ปัญหาการศึกษาระดับสูงจึงควรยกระดับคุณภาพและลดรอยต่อกับตลาดแรงงาน โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ควรพิจารณาโมเดลลดความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากร และ “เชื่อมรอยต่อ” โดยร่วมมือกับภาคธุรกิจวางแผนหลักสูตรตามฐานข้อมูลตลาดแรงงานกลาง (LMIS)
นอกจากนี้ อว. ควรบูรณาการกับกรมการจัดหางาน เพื่อยกระดับเครื่องมือการจัดหางานให้มีประสิทธิภาพ และร่วมกับ ศธ. เพื่อให้ความสำคัญกับวิชาแนะแนวให้นักเรียนค้นหาตัวเองได้อย่างเหมาะสม
ที่ปลายน้ำ แรงงานไทยยังขาดการพัฒนาทักษะที่มีประสิทธิภาพ การสำรวจสภาวะการทำงานของประชากร (LFS) ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 พบว่ามีแรงงานไทยเพียง 2.6% ที่เข้ารับการฝึกพัฒนาฝีมือในรอบปี และในจำนวนนี้ มีเพียง 39.4% มีงานทำหลังการฝึกตามข้อมูลจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และส่วนมากไม่ได้นำไปสู่การเพิ่มรายได้
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนไทยยังไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเท่าที่ควร ส่วนคุณภาพการอบรมยังเน้นรวมศูนย์ที่ กพร. หรือภาคเอกชนที่จัดฝึกเพียงเพื่อลดการสมทบเงินเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน นอกจากนี้การพัฒนาทักษะอาชีพแบบดั้งเดิมก็ไม่ได้คำนึงทักษะพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การรับรู้ภาษา ทักษะทางดิจิทัล และทักษะทางสังคมและอารมณ์
นโยบายเรือธงในเรื่องนี้จึงควรบูรณาการแพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับชาติที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายให้เป็นเอกภาพ โดยบูรณาการระหว่างเจ้าภาพเดิม เช่น กพร. หรือสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ร่วมกับภาคเอกชน ให้ได้หลักสูตรที่ขับเคลื่อนจากความต้องการทักษะแรงงานจริง ครอบคลุมทักษะขั้นพื้นฐาน พร้อมให้เครดิตจูงใจ และมีการรับรองทักษะ (เช่น ผ่านระบบของ สคช.) อย่างเป็นรูปธรรม
คนไทยทุกคนต้องได้รับการส่งเสริมทุนมนุษย์อย่างไร้รอยต่อทุกช่วงวัย คานงัดที่สำคัญคือการยกระดับการคุ้มครองทางสังคมแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ให้มีพัฒนาการ การศึกษา และพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างเต็มศักยภาพ ความสำเร็จที่ได้รับจะเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน.