หมดยุคที่ 'ผู้นำ' เก่งคนเดียว โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
ทีม IT บอกว่าต้องการ 6 เดือนในการพัฒนาระบบใหม่ ทีมการตลาดกดดันให้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใน 3 เดือน ส่วนทีมขายเตือนว่าลูกค้าเริ่มหันไปใช้คู่แข่ง และทีมการเงินห่วงงบประมาณที่ค่อนข้างตึงมือ
แต่ละทีมต่างมีข้อมูล มีเหตุผล และมีความถูกต้องของตัวเอง คำถามคือ: คุณจะทำอย่างไรให้ทุกคนมองเห็นภาพเดียวกัน และเดินไปข้างหน้าด้วยกัน?
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวันในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือ SME ผู้นำหลายคนพยายามแก้ไขด้วยการ “สั่ง” มากขึ้น ประชุมถี่ขึ้น หรือตั้งกฎเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือทีมที่เหนื่อยล้า ขาดแรงบันดาลใจ และทำงานแบบ “ตามคำสั่ง” มากกว่า “ตามใจที่อยากทำ”
นี่คือสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า ผู้นำในยุคดิจิทัลต้องการทักษะใหม่ที่เรียกว่า “Aggregator” หรือผู้นำที่สามารถรวมความหลากหลายให้เป็นพลังเดียวกันได้
Aggregator ไม่ใช่แค่คนกลางที่นั่งฟังปัญหาจากทุกฝ่าย แต่คือผู้นำที่มีความสามารถในการสร้างบรรยากาศให้คนที่มีความคิดต่างกัน มาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Fostering Collaboration)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เมื่อไม่ไว้วางใจ ก็เดินต่อไม่ได้ โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
Formulating Pathway: วางแผนสู่อนาคต ขับเคลื่อนองค์กรด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน
ในโลกที่พนักงานทำงานแบบไฮบริด มีคนต่างวัย ต่างความเชี่ยวชาญ และต่างกรอบความคิดอยู่ในทีมเดียวกัน สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่ “ซูเปอร์แมน” ที่รู้ทุกเรื่อง แต่คือ “ผู้เชื่อมต่อ” ที่ทำให้ทุกคนในทีมเก่งขึ้นไปด้วยกัน
จากการสำรวจของ McKinsey พบว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันแบบมีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการปรับตัวสูงกว่าองค์กรอื่น 5 เท่า และมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงกว่า 35%
ผู้นำที่ขาดทักษะนี้มักจะเจอปัญหา เช่น ข้อมูลไม่ไหล แต่ละแผนกทำงานแยกกัน ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไปโดยไม่รู้ตัว, ขัดแย้งบ่อยครั้ง เพราะแต่ละฝ่ายไม่เข้าใจมุมมองของกันและกัน จนกลายเป็น “เราถูก เขาผิด” แทนที่จะเป็น “เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกันได้อย่างไร”, นวัตกรรมติดขัด เพราะไอเดียใหม่ๆ ต้องการการผสมผสานมุมมองจากหลายสาขา แต่หากทีมไม่สื่อสารกัน ไอเดียเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้น, ลูกค้าไม่พอใจ เมื่อแต่ละแผนกให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ทำให้ประสบการณ์ของลูกค้ากระจัดกระจาย
เคสของ Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งซีอีโอในปี 2014 Microsoft กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง Google และ Apple
แต่แทนที่จะเริ่มจากการเปลี่ยนเทคโนโลยี Nadella เริ่มจากการเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เขากล่าวว่า “การเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงการรู้ทุกอย่าง แต่หมายถึงการที่สามารถเดินในรองเท้าของคนอื่นได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรวบรวมมุมมองที่แตกต่าง เข้าด้วยกัน”
ผลลัพธ์ที่ได้ หุ้น Microsoft เติบโตกว่า 600% ภายใน 7 ปีและที่สำคัญกว่านั้น พนักงานกล่าวว่า “Microsoft กลับมามีหัวใจอีกครั้ง”
ในประเทศไทย มีตัวอย่างจากบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง ที่ผู้บริหารคนใหม่เข้ามาในช่วงที่องค์กรต้องเปลี่ยนผ่านเป็นดิจิทัล แรกเริ่ม เขาพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงด้วยการประกาศนโยบายใหม่ แต่กลับเจอกับแรงต้านจากทุกฝ่าย
เมื่อเขาเปลี่ยนวิธี จากการ “สั่ง” เป็นการ “ชวนคุย” โดยเริ่มจัดการประชุมเพื่อรับฟัง (Listening Session) กับหัวหน้างานแต่ละแผนก เพื่อเข้าใจว่าแต่ละทีมกังวลเรื่องอะไร มีอุปสรรคอย่างไร และมีเป้าหมายอะไรร่วมกัน
ที่สำคัญ เขาไม่ได้ใช้เวลาในการประชุมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ แต่เพื่อรับฟังและซักถาม ผลที่ได้คือ คนที่เคยต่อต้าน กลายเป็นคนที่เสนอไอเดียใหม่ๆ และเมื่อเขาให้เครดิตกับทีมอย่างเปิดเผย ความเชื่อใจและพลังของทีมก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
4 ขั้นตอนพัฒนาทักษะ Fostering Collaboration
1. ฟังก่อนตัดสิน : หลายครั้งเราตัดสินคนอื่นเร็วเกินไป โดยไม่ได้พยายามเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร แทนที่จะพูดว่า “ไอเดียนี้ ไม่น่าเป็นไปได้” ลองถามว่า “คุณเห็นโอกาสอะไรในเรื่องนี้ ที่ผมอาจมองข้ามไป?” ทดลองใช้เทคนิค “Pause and Probe” หยุดสักครู่ก่อนตอบ แล้วถามคำถามเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจให้ลึกขึ้น
2. หาจุดร่วมก่อนหาข้อสรุป : แม้ความเห็นจะขัดแย้งกัน แต่มักมีเป้าหมายร่วมซ่อนอยู่เสมอ เช่น ทีมการตลาดต้องการเปิดตัวเร็วเพื่อครองตลาด ขณะที่ทีม IT ต้องการเวลาเพื่อคุณภาพ แต่ทั้งคู่ต่างก็ต้องการให้สินค้าที่ออกใหม่ประสบความสำเร็จ ทดลองใช้คำถาม “เราจะทำให้ทั้งความเร็วและคุณภาพ อยู่ด้วยกันได้อย่างไร?” แทนการเลือกข้างใดข้างหนึ่ง
3. สร้างพื้นที่ปลอดภัย : คนจะกล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ เมื่อรู้ว่าจะไม่โดนตัดสินในทันที ผู้นำต้องสร้างบรรยากาศที่ทุกคนรู้สึกว่าความคิดของตนมีค่า ทดลองเริ่มประชุมด้วยการกล่าวว่า “วันนี้ผมอยากฟังความคิดจากทุกคน ไม่มีความคิดที่ไม่เข้าท่า” และชื่นชมทันทีเมื่อใครกล้าพูด
4. เป็นแบบอย่างในการร่วมมือข้ามหน่วยงาน : แม้จะไม่มีอำนาจเหนือแผนกอื่น แต่เราสามารถชวนทำด้วยกันได้ ใช้คำว่า “ขอคำปรึกษา” มากกว่า “ต้องการให้ช่วย” และอย่าลืมให้เครดิตเมื่อความร่วมมือประสบความสำเร็จ
เมื่อพัฒนาทักษะนี้ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ความไว้วางใจจะเพิ่มขึ้น ทีมจะสามารถทำงานร่วมกันได้แม้ในช่วงวิกฤต เพราะแต่ละคนรู้ว่าเสียงของตนเองได้รับการรับฟัง, นวัตกรรมจะมีมากขึ้น เมื่อคนจากต่างแผนกได้แลกเปลี่ยนความคิด ไอเดียใหม่ๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง, ความขัดแย้งจะลดลง ไม่ใช่เพราะไม่มีความเห็นต่าง แต่เพราะทุกคนเรียนรู้ที่จะเข้าใจกันมากขึ้น, พนักงานจะผูกพันกับองค์กร เมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คนก็อยากอยู่และทำงานกับองค์กรนานขึ้น
ในยุคที่ข้อมูลมีมากมาย เทคโนโลยีพัฒนาไว และลูกค้ามีตัวเลือกมาก การเป็นผู้นำที่รู้ทุกเรื่องอาจเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่การเป็นผู้นำที่ทำให้คนที่รู้เรื่องต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน มาทำงานร่วมกันได้ กลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด
การวัดความสำเร็จของผู้นำยุคใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาตัดสินใจได้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าเขาสามารถพาทีมที่มีความหลากหลาย เดินไปข้างหน้าด้วยกัน ได้มากเพียงใด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จในยุคนี้ ไม่ได้มาจากคนเก่งคนเดียว แต่มาจากทีมที่คนเก่งทุกคนไปด้วยกันได้ … ต่างหาก !