วิ่งๆ ซอมบีกำลังจะมางับแล้ว เฮ้ย! พี่ฟังก่อน ผมแค่อยากบอกว่าผมเป็นใคร
“ถ้าพี่ปลูกมันฝรั่ง น้องก็แทะมันจนหน้าซีด ถ้าพี่ปลูกต้นถั่ว น้องก็จะถูกกระสุนยิงใส่” โชคดีที่ผมเป็นครูพละเลยมีโทรโข่งและนกหวีดอยู่ในบ้าน เสียงดังพอจะเจรจากับร่างที่เดินไม่ค่อยจะไหว รอยกัดเต็มตัว ใบหน้าซูบโหลกำลังค่อยๆ กะเผลกขาผุพังของตัวเองเข้ามาในรั้วบ้าน
“เดี๋ยว! พี่เล่นเกม Plants vs Zombies มากไปไหม ออกแอปมาก่อนแล้วนั่งคุยกันหน่อย ไม่งั้นผมงับนะ” ผมพูดตอบเจ้าของบ้านด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี ก่อนที่ความเป็นคนในตัวจะอันตรธานหายไป ขอให้ใครสักคนได้รู้ว่าผมเป็นใคร แค่คนหนึ่งก็ยังดี
เฮติสู่ฮอลลีวูด
ณ หมู่บ้านเล็กๆ ของชาวเฮติ มีตำนานเล่าขานกันว่าหากคนตายคนใดถูกทำพิธีโดยหมอผีวูดู พวกเขาจะลุกขึ้นมาเดินได้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในรูปลักษณ์มนุษย์ปกติดังเดิม หากแต่เป็น ‘ซอมบี’ ที่ไร้จิตวิญญาณและความรู้สึก
“แบบน้องน่ะเหรอ”
“เฮ้ย! พี่ฟังก่อน อย่าขัดผมสิ”
‘โบกอร์’ เป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนเหล่า ‘หมอผีวูดู’ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ดำ เขาเป็นผู้เลือกเหยื่อทำพิธี คนโชคร้ายเหล่านั้นมักจะถูกครอบครัวส่งตัวมาแลกกับเงินจำนวนโข หรือไม่ก็ถูกทำร้ายด้วยจุดประสงค์ทางการเมือง
วูดูกำเนิดจากชาวแอฟริกันที่ถูกจับตัวไปค้าเป็นทาส ทั้งยังเป็นชื่อของศาสนา และความเชื่อเก่าแก่ พวกเขาขลุกตัวอยู่กับเวทมนตร์ พิธีกรรม ร้องหาวิญญาณอีกฟากฝั่งมิติ เชื่อได้เลยว่าแค่ได้ยินคำว่าวูดู ขนก็จะลุกสะพรือขึ้นด้วยความขลัง
หนึ่งในพิธีกรรมที่เลื่องลือไปทั่วหมู่เกาะแคริบเบียน คือการปลุกซอมบีที่ทำให้คนเป็นเหมือนคนตาย ราวกับถูกฝังทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย! โดยมี ‘ผงซอมบี’ ดังวัตถุดิบชั้นเลิศ แค่ต้องมีปลาปักเป้า กบทะเล กบไฮลาทรีฟร็อกหรือตะปาดบ้านเรา ชิ้นส่วนใดก็ได้ของศพมนุษย์ บรรดาพืช เช่น แก้วมังกร สไปเดอร์ กวนให้เข้ากับดินและทรายบด
โบกอร์จะกรอกผงเข้าปากเหยื่อ หรือไม่ก็ฉีดเข้าตามร่างกาย และแล้วผงซอมบีจะแล่นเข้ากระแสเลือด เพียงกลั้นใจรอราว 10 - 45 นาที ลมหายใจจะค่อยๆ รวยริน เริ่มคลำหาชีพจรไม่เจอทั้งที่ยังมีชีวิต และสติอยู่ภายใน หาแหล่งดินเปียกชื้นพอเหมาะเพื่อฝังร่างของเหยื่อ กลบให้มิดกระทั่งปลายนิ้วเท้าก็ห้ามโผล่ขึ้นมา จับนาฬิกาให้หมุนไปไม่เกิน 8 ชั่วโมง และขุดเหยื่อขึ้นมาอีกครั้ง
สำลักดินตายทั้งเป็น
พิธีกรรมทางเวทมนตร์ดักจับวิญญาณกำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ เตรียมไห หรือภาชนะปิดให้พร้อม ซ่อนมันไว้ให้ดี หยอดยาหลอนประสาทให้ร่างที่ดูไร้ชีวิตกลับคืนชีพ ยาชนิดนี้ที่โบกอร์ทำขึ้นจะทำให้เหยื่อเสียอาการจนเหมือนคนบ้า ความทรงจำเลือนหาย ไร้จิตใจราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก ซอมบีจะพร้อมรับฟังทุกคำสั่งของโบกอร์ บ้างก็ถูกใช้งานเป็นทาสในไร่ ทำงานหนักจนกว่าโบกอร์ที่คอยควบคุมจะหมดอายุขัย และเมื่อวันนั้นมาถึง วิญญาณที่ถูกขังจะได้รับการปลดปล่อย ซอมบีจะได้ชีวิตของตัวเองคืนมาอีกครั้ง หากความทรงจำไม่พร่ามัวเกินไปจนจำทางกลับบ้านไม่ได้เสียก่อน
ว่ากันว่าผู้ใดที่ป้อนเกลือแก่ซอมบี จะนับเป็นการถอนคำสาปทำให้พวกเขาฟื้นคืนสติ ทั้งยังเป็นการทำลายโบกอร์ตัวต้นเรื่อง คุณอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องลวงหลอก แต่น่าเสียดายที่คดีนี้เกิดขึ้นจริง และถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างลบไม่ออก ‘แคลร์เวียส นาร์ซีส’ นามของชายผู้โชคร้าย
ย้อนกลับไปเมื่อคริสต์ศตวรรษ 1962 นาร์ซีสถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เขาเจ็บหน้าอก เลือดกำเดาไหลพราก ชาไปทั้งเนื้อตัว ก่อนจะเข้าสู่ภาวะโคม่าในไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนั้น แพทย์ที่คอยรักษาทั้งสองคนลงนามยืนยันว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ถึงขั้นมีใบรับรองเป็นมรณะบัตรชัดเจน ทั้งครอบครัวยังฝังร่างนาร์ซีสไว้ในสุสาน ปักป้ายแผ่นหินแสดงความอาลัย ทุกอย่างดูเหมือนจะจบลงตรงนั้น แต่ก็แค่เหมือน
ในนามของซอมบี
ครอบครัวของนาร์ซีสดำเนินชีวิตไปอย่างปกติ กระทั่งวันหนึ่งชายแปลกหน้าเดินดุ่มๆ เข้ามาหาพี่สาวของนาร์ซีส
“ผมคือแคลร์เวียส นาร์ซีส” ชายหนุ่มร้องบอก
พี่สาวนาร์ซีสไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ตาขาวแทบถลนออกจากเบ้าด้วยความหวาดผวา เป็นไปไม่ได้! มันไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย
ทว่าชายแปลกหน้ากลับรู้เรื่องของครอบครัวทุกประการ ครอบคลุมทุกรายละเอียด มากไปกว่านั้น เขามีรอยแผลที่ริมฝีปาก ร่องรอยตรงกับนาร์ซีสก่อนจะสิ้นลม เมื่อนาร์ซีสเห็นว่าอาการระส่ำระสายของครอบครัวค่อยๆ เบา เขาจึงเล่าเรื่องน่าขนลุกปนเวทนาขึ้นมา เขาว่าตัวเองได้ยินเสียงหมอประกาศด้วยซ้ำ คำว่าเสียชีวิตแล้วยังดังก้องอยู่ในสมอง มองเห็นญาติคร่ำครวญ แม้แต่คราวที่ถูกดินฝังกลบทั่วใบหน้าก็ยังรู้ แต่เขาไม่อาจขยับตัวได้เลย
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง หมอผีวูดูขุดเขาขึ้นมาจากหลุม และทำพิธีดักจับวิญญาณไว้ มอมเมาด้วยยาจนลืมความทรงจำราวคนเสียสติ ถูกใช้แรงงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย ได้กินเพียงน้ำไม่ถึงครึ่งกระบอกไม้ไผ่ ข้าวไม่ถึงหยิบมือที่มีแต่ยาเสพติดผสมอยู่ทุกวัน กระทั่งวันหนึ่งหมอผีสิ้นลมลง เขาถึงหนีออกมาได้พร้อมกับสติที่ฟื้นคืน พยายามไต่หาทางกลับบ้านนานถึง 16 ปี กว่าจะพบครอบครัวได้อีกครั้ง ปฏิทินก็ถูกหยุดไว้ที่ปี 80 แล้ว
ชื่อและเรื่องราวของนาร์ซีสโด่งดังไปทั่วโลก จนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดส่งนักวิจัย‘เวด เดวิส’ นักชาติพันธุ์วิทยาและนักมานุษยวิทยาชาวแคนาดา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพิษ พิธีกรรม และวัฒนธรรมพื้นเมืองโดยเฉพาะในแถบอเมริกากลาง รวมไปถึงแคริบเบียน เดวิสเป็นคนแรกๆ ที่เฝ้าศึกษาปรากฏการณ์ซอมบีอย่างจริงจัง เขาเดินทางไปสัมภาษณ์นาร์ซีสตัวเป็นๆ ในเฮติด้วยตัวเอง ทั้งเก็บผงซอมบีจากหมอท้องถิ่นวูดูมาเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมได้
เรื่องซอมบียังเป็นที่ถกเถียงโต้แย้งของผู้ที่ได้ยิน บ้างก็ว่ามันอาจมีเบื้องหลังแฝงอยู่ ไม่ก็มีคนจงใจวางยาเขา ไม่ก็ใช้ความศรัทธาทางวูดูเข้าควบคุมให้นาร์ซีสกล่อมตัวเองว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจริง แต่ต้องยอมรับว่าคดีของนาร์ซีสเป็นหนึ่งในเคสซอมบีที่มีหลักฐานทางการแพทย์มากที่สุดในโลก และกลายเป็นต้นแบบของหนังสือชื่อดัง ‘The Serpent and the Rainbow’ ที่ภายหลังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์
“โห! ฟังมาถึงตรงนี้แล้ว พี่สงสารน้องเลย” ผมค่อยๆ ลดโทรโข่งลง คราวนี้ก็รู้แล้วว่าจะจัดการกับร่างที่เดินโอนเอียงไปมาตรงหน้าอย่างไร
“ไม่ต้องวิ่งหนีเพราะกลัวผมงับนะ ไม่ต้องควานหาปืนมาเป่าสมองให้แตกกระจุยด้วย แค่ตักเกลือหนึ่งช้อนโต๊ะน่ารักๆ ป้อนใส่ปากผมก็พอ” แล้วพี่ชายในชุดครูพละเต็มยศก็วิ่งหายเข้าไปในบ้าน
เขากรอกเกลือใส่ปากผม ไม่เหมือนที่บอกให้เบามือไว้สักนิด
แต่จนแล้วจนเล่า แสงพระอาทิตย์ใกล้จะหมดฟ้า ตัวผมก็ยังไม่หายชาอยู่ดี จะทำอย่างไรได้ล่ะ ผมเริ่มรู้สึกว่ากลิ่นพี่ชายคนนี้หอมจนทนแทบไม่ไหวเสียแล้ว
ที่มา https://sites.duke.edu/ginalisgh323/zombie-project/
https://www.nofi.media/en/2024/09/clairvius-narcisse-2/91390