ยาที่ห้ามใช้! เมื่อสงสัยว่าเป็น "ไข้เลือดออก" เพิ่มความเสี่ยง อันตรายถึงชีวิต
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดรายชื่อ ยาที่ห้ามใช้ ! เมื่อสงสัยว่าเป็น "ไข้เลือดออก" เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกง่ายขึ้น อันตรายถึงชีวิต
ชื่อยา และ เหตุผลที่ไม่ควรใช้
- แอสไพริน (Aspirin) รบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด เพิ่มความเสี่ยงเลือดออกง่าย เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือสมอง
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ที่ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด อาจทำให้เลือดออกผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดรั่ว
-นาพรอกเซน (Naproxen) เป็น NSAID เช่นกัน เพิ่มความเสี่ยงเลือดออกคล้าย ibuprofen
- ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) อีกหนึ่ง NSAID ที่อาจกระตุ้นเลือดออก และกระเพาะระคายเคือง
- อินโดเมทาซิน (Indomethacin) NSAID ที่มีผลต่อเกล็ดเลือดและหลอดเลือด อาจเร่งภาวะแทรกซ้อน
- พอนสแตน (Mefenamic acid) เพิ่มโอกาสเลือดออก โดยเฉพาะในทางเดินอาหารและเหงือก
ยาแก้ปวด/ลดไข้ที่แนะนำ
- พาราเซตามอล (Paracetamol / Acetaminophen)
เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในการลดไข้และบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยไข้เลือดออก
ข้อควรระวัง: ไม่ควรรับประทานเกินขนาด (ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ใหญ่)
เหตุผลสำคัญในการหลีกเลี่ยงยา NSAIDs และ Aspirin
-โรคไข้เลือดออกมีความเสี่ยงเกิดภาวะ หลอดเลือดรั่ว และ เกล็ดเลือดต่ำ อยู่แล้ว
- ยาเหล่านี้รบกวนกลไกการแข็งตัวของเลือด
- การใช้ยาเหล่านี้อาจนำไปสู่ ภาวะเลือดออกภายในที่รุนแรง ซึ่งอาจเสียชีวิตได้
โรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และอาจพิจารณาฉีดวัคซีนไข้เลือดออกเป็นมาตรการเสริมในการป้องกันการป่วยรุนแรงได้
การป้องกันไข้เลือดออก ที่ดีที่สุดคือ ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และอาจพิจารณาฉีดวัคซีนไข้เลือดออกเป็นมาตรการเสริมในการป้องกันการป่วยรุนแรงได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นักวิทยาศาสตร์พบวิธีเปลี่ยนขยะเป็นยา
- เตือนระวัง! ไวรัสซิกา ระบาดหนักช่วงหน้าฝน มียุงลายเป็นพาหะ สามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้
- รูัจัก "ทรามาดอล" ยาแก้ปวดชนิดเฉียบพลัน ที่ราชกิจจาฯ ประกาศให้ เป็นยาควบคุมพิเศษ
- อัตราการฉีดวัคซีนเด็กทั่วโลกถดถอย เสี่ยงโรคระบาดกลับมาอีกครั้ง
- คนไทยป่วยไข้เลือดออกทะลุแสน 2 ปีซ้อน