ไตรมาส 3/68 เศรษฐกิจโลกยังสั่นคลอน ลงทุน หุ้น-ทองคำ อย่างไรไม่ให้พอร์ตปลิว?
ผ่านมาครึ่งปีแล้ว แต่สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยก็ยังดูเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่พลิกมา พลิกไปอยู่แทบตลอดเวลา ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นขาลงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดคำถามว่าในไตรมาส 3ตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังมีความน่าสนใจบ้าง
วันนี้ Wealthy Thai จึงได้หยิบยกเอาคาดการณ์แนวโน้มไตรมาส 3/68 พร้อมกลยุทธ์การลงทุนจาก บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง มาฝาก
โดย นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) กล่าวว่า ท่ามกลางความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากพายุเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ การลงทุนในไตรมาส 3 ปี 2568 ต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เผชิญความท้าทายจากปัญหาหนี้สาธารณะเพิ่มสูง และแรงกดดันจากภาระดอกเบี้ยสูง แต่ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้เร็วตามต้องการ เนื่องจากกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบชะลอลง
ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลงมากถึง 10% นับจากต้นปี 2568กระทบต่อผลตอบแทนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มโยกการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ และสกุลเงินปลอดภัย เช่น เยน, ฟรังก์สวิส รวมถึงสกุลเงินบาท ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยของภูมิภาค
ส่วนตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนและเปราะบาง จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและความเสี่ยงทางการเมือง โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจกดดันกำไรบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เป็นต้นไป รวมถึงความเสี่ยงเฉพาะตัวที่อาจเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ KTX จึงปรับลดเป้าหมาย SET มาอยู่ที่ 1,116 จุด ซึ่งทางเทคนิคดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในนัยของการปรับขึ้นมากกว่า มีแนวต้านเป้าหมายบริเวณ 1,140-1,150 จุด หากผ่านจุดนี้ได้จะเปิดทางขยับขึ้นไปยัง 1,200 จุดอีกครั้ง โดยมีประเด็นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เป็นปัจจัยชี้นำทิศทางของดัชนี
“แนะนำลงทุนแบบ Selective ในหุ้นราคาไม่แพง หนี้สินต่ำ และจ่ายปันผลสูง ที่รองรับความผันผวนได้ดี อาทิ TFG, SYNEX, KBANK, ADVANC, GULFโดยกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มโดดเด่นจากความหวังเรื่องจ่ายเงินปันผล เราเลือก KBANK, SCB, BBL และ KTB ตามด้วยหุ้นพลังงานอย่าง GULF ซึ่งเป็นโอกาสเข้ารับหลังราคาปรับตัวลงมาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่สามารถคาดหวังแนวโน้มผลประกอบการเติบโต เช่น TFG ในกลุ่มอาหาร และกลุ่ม ICT ได้แก่ ADVANC, TRUE, SYNEX”
นอกจากนี้ KTX แนะนำให้สะสมทองคำ (Gold Online Futures – GOU25)ในพอร์ตด้วย โดยประเมินเป้าหมายราคาทองคำระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่ 3,936ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยโอกาสอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป และกลุ่ม BRICS รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของความต้องการทองคำ เห็นได้จากการเร่งเพิ่มถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก สอดรับกับมุมมองทางเทคนิคที่ราคาทองคำมีโอกาสลุ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่เหนือ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีหลากหลายปัจจัยกดดัน แต่ KTXยังมีมุมมองบวก จากการที่นักวิเคราะห์ยังคงปรับประมาณกำไรของบริษัทจดทะเบียน S&P500 ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ นำโดยกลุ่มบริการสื่อสาร และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในธุรกิจต่าง ๆ เช่นเดียวกับกลุ่มการเงินและธนาคารของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่อง อีกทั้งมีจิตวิทยาเชิงบวกจากแนวโน้มการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางการเงินในครึ่งปีหลัง
“การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ KTX แนะนำให้มุ่งเน้นกลยุทธ์ Selective ในหุ้นที่เติบโตสอดคล้องกับธีม AIและมีกำไรสม่ำเสมอ โดยหุ้นที่โดดเด่น อาทิ Nvidia, Meta Platform, Reddit, CrowdStrike และ ในกลุ่มธนาคารอย่าง JPMorganส่วนการเก็งกำไรแนะนำกลุ่มพลังงานนิวเคลียร์อย่าง US Electrification ETF (ZAP)ตามความต้องการไฟฟ้าที่เร่งตัวขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ ซึ่งการลงทุนในภาวะที่พายุพัดแรง ต้องรู้ว่าจะหยุดรอจังหวะไหน และไปต่ออย่างไร” นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย