ทายาทรุ่น 2 อาณาจักร PCE ลุยยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มแข่งขันตลาดโลก
บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) และลงทุนในกลุ่มบริษัทธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
- กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม
- กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ
- กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ
- กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ
ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมากว่า 43 ปี เข้าสู่ช่วงเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มีทายาทธุรกิจอย่าง “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” บุตรชายคนที่ 2 ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร และยังมีพี่น้องอีก 2 คน คือ “กัญกร ประสิทธิ์ศุภผล” บุตรสารคนโต และ “กิตติภณ ประสิทธิ์ศุภผล” บุตรชายคนที่ 3 เข้ามาช่วยดูแลกิจการครอบครัว
ธุรกิจครอบครัวจากรุ่น 1 สู่ รุ่น 2
ย้อนกลับไป PCE เป็นธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งโดยคุณพ่อของ “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” นั่นคือ “ประกิต ประสิทธิ์ศุภผล” ผู้บุกเบิกรุ่นแรกในปี 2525 ธุรกิจเริ่มต้นจากการให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งน้ำมันมะพร้าว จาก สุราษฎร์ธานี ไปยัง กรุงเทพฯ และขนกลับจาก กรุงเทพฯ มายัง สุราษฎร์ธานี เมื่อเห็นว่ารถขนส่งไม่มีสินค้าขากลับ จึงเริ่มมองหาสินค้าใหม่ คือ น้ำมันดีเซล เพื่อขนกลับมาขายในพื้นที่ภาคใต้
ต่อมาคุณพ่อของ “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” ได้ต่อยอดธุรกิจด้วยการก่อตั้ง บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด (PKM) ซึ่งดำเนินธุรกิจคลังสินค้า คลังเก็บน้ำมัน และท่าเทียบเรือ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้ตลอดทั้งปี จึงหันมาเน้นที่การขนส่งน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอในทุกฤดูกาล
จากนั้น “ประกิต ประสิทธิ์ศุภผล” ยังได้สร้างท่าเรือทั้งในสุราษฎร์ธานี และ กรุงเทพฯ เพื่อรองรับการขนส่งน้ำมันปาล์มในปริมาณมาก และยังใช้เรือในการขนส่งน้ำมันปาล์มจาก สุราษฎร์ธานี ขึ้นไปยัง กรุงเทพฯ
นอกจากธุรกิจคลังสินค้า คลังเก็บน้ำมัน และท่าเทียบเรือแล้ว ยังขยายธุรกิจไปสู่การผลิตน้ำมันไบโอดีเซล หรือ B100 และก่อตั้ง บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด (PACO) เพื่อดำเนินการซื้อขายน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์พลอยได้จากปาล์มทั้งหมด
จนกระทั่งในปี 2557 “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” ได้เข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านทันที หลังจากจบปริญญาตรีจากสหรัฐอเมริกา สาขา Bachelor of Science, General Social Science, University of Oregon เมื่อปี 2556 เนื่องจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาเล่าให้ฟังว่า ได้ซึมซับการดำเนินธุรกิจของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก โดยคุณพ่อได้ปลูกฝังให้เขาเรียนรู้หน้างานและไซต์งานต่างๆ ตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ แม้ช่วงที่ไปเรียนไฮสคูลที่มาเลเซีย เป็นเวลา 6 ปี คุณพ่อให้เดินทางกลับมาเรียนรู้ธุรกิจของครอบครัวทุก 2 สัปดาห์
“ในตอนแรกจะไม่เต็มใจนัก แต่การได้สัมผัสกับการทำงานจริง เช่น การซ่อมเรือในตอนกลางคืน หรือการตื่นเช้าไปดูสวนและโรงงาน ทำให้เขาคุ้นเคยกับธุรกิจของครอบครัวเป็นอย่างดี”
บทบาทและการบริหารงานใน PCE
“พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” เริ่มต้นทำงานใน PCE ด้วยการฝึกงานหน้างาน โดยคุณพ่อประกิตให้เขาไปเรียนรู้การทำงานของฝ่ายปฏิบัติการ (Operation) ร่วมกับพนักงาน หลังจากนั้นจึงเข้ามารับผิดชอบในส่วนของการซื้อขาย (Trading) สินค้าต่างๆ เช่น กะลาปาล์ม และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม เพื่อฝึกฝนการประสานงานและต่อรองราคากับโรงงาน
ต่อมาเขาได้กลับมาทำหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของ Operation อีกครั้ง เพื่อดูแลโรงงาน กระบวนการทำงาน และแก้ไขปัญหาหน้างาน โดยจะปรึกษาคุณพ่อในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาให้พนักงานอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเขารับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร ซึ่งมีหน้าที่ในการขยายและพัฒนาองค์กร รวมถึงการมองหาศักยภาพของปาล์มเพื่อต่อยอดธุรกิจ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง (High Margin Product) มากขึ้น
แนวคิดบริหารงาน “เป็นกันเอง เน้นทีมเวิร์ค”
สำหรับแนวคิดการบริหาร “พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล” เน้นความเป็นกันเอง โดยมีความใกล้ชิดกับพนักงานทุกระดับและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม เขามองว่าตนเองไม่ได้เก่งในทุกเรื่อง จึงพร้อมรับฟังปัญหาและช่วยเหลือพนักงาน โดยจะพิจารณาความสามารถของพนักงานแต่ละคน เพื่อผลักดันให้พวกเขาเติบโตและเข้ามาช่วยองค์กรในที่สุด
ยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มแข่งขันกับตลาดโลก
เขาตั้งเป้าหมายในการสานต่อธุรกิจ โดยนำ “น้ำมันปาล์ม” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไปต่อยอดในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสบู่ เครื่องสำอาง อาหาร (น้ำมันทอด ช็อกโกแลต เบเกอรี่) หรือพลังงาน (น้ำมันไบโอดีเซล) เป้าหมายคือการพัฒนาจุดแข็งของบริษัทให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ผลิตภัณฑ์จากปาล์มสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยมีบทบาทเป็น **คนกลางที่เชื่อมโยงเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มกับตลาดปลายทาง
ปัจจุบัน PCE ได้เริ่มต่อยอดธุรกิจในส่วนของอาหารแล้ว โดยจัดตั้ง บริษัท นิทไทย สเปเชียลตี้ ออย แอนด์ แฟตส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง PCE และบริษัท Intercontinental Specialty Fats Sdn. Bhd. (ISF) มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดย PCE ถือหุ้น 60% และ ISF ถือหุ้น 40% เพื่อเพิ่มช่องทางใหม่จากกลุ่มลูกค้าของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และในภาคอุตสาหกรรมอาหาร
ทั้งนี้ ในเฟสแรกจะเป็น Marketing Firm ก่อนในระยะ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง โดย PCE จะนำน้ำมันปาล์มคุณภาพดี ส่งขายให้กับอุตสาหกรรมอาหารของลูกค้าญี่ปุ่นในไทย อาทิ โรงงานทำเบเกอรี่ เป็นต้น ซึ่งลูกค้าญี่ปุ่นในกลุ่มนี้อยู่ในไทยจำนวนมาก
ส่วนเฟส 2 จะเริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตวัตถุดิบตั้งต้น (Raw Material) เพื่อส่งให้กับแบรนด์ดังต่างๆ โดยนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นเข้ามาพัฒนาน้ำมันปาล์มผ่านกระบวนการกลั่น เพื่อนำไปใช้ทดแทนวัตถุดิบหลักในการผลิตช็อกโกแลต คาดว่าจะผลิตเพื่อส่งออกด้วย
โดย PCE นำวัตถุดิบหลักคือน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท และญี่ปุ่นนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อพัฒนาน้ำมันปาล์มผ่านกระบวนการกลั่น เพื่อนำไปใช้ทดแทนวัตถุดิบหลักในการผลิตช็อกโกแลต ซึ่งส่วนผสมหลักของช็อกโกแลตในปัจจุบันคือน้ำมันปาล์ม. โดยบริษัทร่วมทุนนี้จะทำหน้าที่ผลิตวัตถุดิบตั้งต้น (Raw Material) เพื่อส่งให้กับแบรนด์ดังต่างๆ
ความท้าทาย-แนวทางรับมือการสานต่อธุรกิจ
เขามองว่าความท้าทายในการเป็นทายาทรุ่นที่ 2 คือ การรักษามาตรฐานเดิมและทำให้ดียิ่งขึ้น การที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้มีความคาดหวังจากผู้ถือหุ้นในการขยายธุรกิจ รายได้ และกำไรที่ต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ คือ การพัฒนาจุดแข็งของบริษัทให้แข็งแกร่ง เพิ่มช่องทางการขาย และมุ่งสู่ตลาดต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศ เพราะการแข่งขันในประเทศ สุดท้ายนำไปสู่สงครามราคาที่แข่งกันลดราคา
ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 10-15%
ภาพรวมของธุรกิจน้ำมันปาล์มในประเทศไทย พบว่า พื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น 3-5% ทุกปี และน้ำมันปาล์มให้ผลผลิตที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่น โดย PCE ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 10-15% โดยผลักดันโครงการใหม่ๆ ที่นำปาล์มไปต่อยอดเพิ่มเติม โดยกลยุทธ์หลักคือการเพิ่มปริมาณ (Volume) เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจแบบเน้นปริมาณ โดยพยายามรักษาปริมาณการซื้อขายให้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม ขณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และกลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ยังมีสัดส่วนรายได้น้อย แต่เป็นจุดแข็งที่ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายนำพา PCE เติบโตใน 3-5 ปี
ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า PCE พยายามผลักดันให้มีการให้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มมากขึ้น และกรณีนโยบายภาครัฐไม่ชัดเจน ก็มีแผนสํารองเตรียมไว้ คือ ผลักดันการส่งออกน้ำมันไบโอดีเซล หรือ B100 ไปยังจีน และประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดจำนวนมาก เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ อยู่ที่ 30-40% และรายได้ในประเทศ อยู่ที่ 60-70% ของรายได้รวม