Remote work ทุกวันเหงาเกิน! Gen Z ขอสลับเข้าออฟฟิศ ทำงานแบบเจอหน้า
แม้ว่า Gen Z จะเติบโตมาในโลกดิจิทัล มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่ว และสามารถทำงานและทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผ่านหน้าจอได้สบายๆ แต่เมื่อพูดถึง “การทำงานจริง” คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลับไม่อยากพึ่งพา Zoom หรือแอปพลิเคชันสำหรับประชุมออนไลน์ตลอดเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจ
รายงานล่าสุดจาก Gallup เผยให้เห็นผลสำรวจที่น่าประหลาดใจว่า
Gen Z เป็นกลุ่มที่ “ไม่อยากทำงานรีโมตเต็มรูปแบบ” เมื่อเทียบกับวัยทำงานทุกเจเนอเรชัน โดยจากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานทุกเจเนอเรชัน ทั้ง BabyBoommer, Gen X, มิลเลนเนียล (Gen Y) และ Gen Z พบว่า
มีพนักงานชาว Gen Z เพียง 23% เท่านั้น ที่บอกว่าต้องการทำงานจากระยะไกล 100% (fully remote) ในขณะที่พนักงานรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมิลเลนเนียล (Gen Y), Gen X, BabyBoommer ต่างมีอัตราความต้องการทำงานรีโมตอยู่ที่ 35% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น
จิม ฮาร์เตอร์ (Jim Harter) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านการบริหารจัดการที่ทำงานและสุขภาวะของ Gallup บอกว่า เขาเองก็ตกใจกับผลลัพธ์นี้ เขาบอกว่า “หลายคนอาจคิดว่า Gen Z เป็นรุ่นที่จะชอบทำงานจากบ้านมากกว่ารุ่นอื่นแน่ๆ เพราะพวกเขาถนัดโลกดิจิทัล แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เลย”
เพราะอะไร Gen Z ถึงไม่คลั่งไคล้การทำงานแบบ Remote work ?
ฮาร์เตอร์อธิบายว่า สิ่งที่ Gen Z เป็นห่วงมากกว่าการมีอิสระในการทำงาน ก็คือ “โอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ” ที่อาจถูกบั่นทอนลง ถ้าต้องทำงานจากระยะไกลหรือทำงานอยู่บ้านเต็มรูปแบบ 100%
เขาบอกอีกว่า สำหรับพนักงานที่อยู่ในช่วงต้นของชีวิตการทำงาน อย่างชาว Gen Z การมี เมนเทอร์ (mentor) หรือผู้ให้คำแนะนำเป็นสิ่งสำคัญมาก และสิ่งนี้ มักจะเกิดขึ้นได้ยากในโลกการทำงานแบบรีโมตเวิร์ก เพราะต่างคนต่างอยู่ และไม่ได้ทำงานแบบเจอหน้ากันจริงๆ
นอกจากนี้ คนทำงาน Gen Z ยังมักจะมีความไม่แน่ใจอยู่ลึกๆ เสมอว่า “บทบาทของตัวเองเชื่อมโยงกับภาพรวมขององค์กรอย่างไร” ดังนั้น หากพวกเขาทำงานเหินห่างจากทีมหรือห่างจากสังคมออฟฟิศ ก็จะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแยกขาดจากจุดมุ่งหมายของงานที่ทำอยู่
ตามรายงานของ Gallup ยังพบอีกว่า วัยทำงานชาว Gen Z มีแนวโน้มชอบการทำงานแบบไฮบริดมากที่สุด โดยมีพนักงาน Gen Z มากถึง 71% ที่รายงานว่า ตนเองต้องการทำงานแบบผสมระหว่างเข้าออฟฟิศและอยู่บ้าน ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในบรรดาทุกเจเนอเรชัน ไม่เพียงเท่านั้น Gen Z ยังมีแนวโน้มที่จะอยากให้เพื่อนร่วมงาน เข้าออฟฟิศบ่อยขึ้นด้วย เพื่อให้รู้สึกว่า “ทีมมีตัวตนจริง” และพวกเขาจะไม่โดดเดี่ยวเกินไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า Gen Z จะชอบทำงานในออฟฟิศเต็มเวลาเสมอไป เพราะจากข้อมูลพบว่า มีเพียง 6% ของ Gen Z ที่ต้องการทำงานแบบเข้าออฟฟิศตลอดเวลา เทียบกับ 4% ของมิลเลนเนียล, 9% ของเจนเอ็กซ์ และ 10% ของเบบี้บูมเมอร์
"ความเหงา" สาเหตุสำคัญเบื้องหลังการอยากเข้าออฟฟิศของ Gen Z
สำหรับเหตุผลว่าทำไมพวกเขาอยากเข้าออฟฟิศนั้น ฮาร์เตอร์เชื่อว่า “ความเหงา” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คน Gen Z อยากมีปฏิสัมพันธ์แบบเจอหน้ากันจริงๆ จากผลสำรวจของ Gallup ในปี 2024 พบว่า 1 ใน 5 ของพนักงานทั่วโลก รายงานว่าตัวเองรู้สึกเหงาอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานอายุต่ำกว่า 35 ปี ที่เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเหงาสูงที่สุด
ฮาร์เตอร์ ย้ำว่า “Gen Z มีความต้องการที่จะเชื่อมโยงกับผู้คนแบบตัวต่อตัว มันเป็นความโหยหาที่ลึกซึ้ง และสำคัญต่อสุขภาพจิตและการเติบโตในหน้าที่การงาน”
แม้คนเจเนอเรชันอื่นอาจพอใจกับการทำงาน Remote work แบบเต็มเวลา แต่สำหรับผู้นำองค์กรและหัวหน้าทีม ฮาร์เตอร์เน้นย้ำว่า จำเป็นต้อง “คิดให้รอบด้าน” เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของ Gen Z ให้ถูกทิศทาง
“มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะเวลาเจอหน้ากันเท่านั้น ซึ่งเราไม่สามารถจัดตารางล่วงหน้าใน Zoom ได้ เช่น บทสนทนาเล็กๆ การช่วยแก้ปัญหาแบบทันที หรือแค่การหันไปถามคำแนะนำจากคนข้างๆ เป็นต้น”
เปิดคำแนะนำ วิธีบริหารลูกน้อง Gen Z ให้ทำงานราบรื่น
แม้แต่ทีมที่ทำงานแบบไฮบริด ก็อาจยังไม่ได้จัดการเวลาที่เจอกันในออฟฟิศให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับพนักงาน Gen Z ฮาร์เตอร์เสนอว่า ควรมีการกำหนด “วันเข้าออฟฟิศร่วมกันทั้งทีม” อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดการพบปะแลกเปลี่ยนกันจริง ๆ
สำหรับทีมที่ทำงานแบบ Remote work เต็มตัว 100% ฮาร์เตอร์แนะนำให้หัวหน้างานและผู้นำองค์กร ให้ความสำคัญกับบทสนทนาเชิงลึก (Deep Talk) และมีความหมาย เช่น พูดคุยเรื่องเป้าหมายในอาชีพ ความท้าทายที่เจอ หรือจุดแข็งของแต่ละคน เพื่อให้ Gen Z รู้สึกว่า “มีคนมองเห็นพวกเขา มีคนเข้าใจ”
โดยสรุปคือ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าผู้นำองค์กรอย่าคิดแค่ “รูปแบบงานไหนที่เหมาะกับคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งเท่านั้น” แต่ต้องคิดว่า “รูปแบบงานไหนที่ดีที่สุดสำหรับทั้งทีม” เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้และในอนาคตข้างหน้า คนรุ่นใหม่กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดงานมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งวันหนึ่งก็จะต้องแซงหน้าคนรุ่นเก่าในที่สุด
“องค์กรที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ คือองค์กรที่มองเห็นความต้องการของคนรุ่นใหม่ แล้ววางแผนเพื่อสนับสนุนพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรม” ฮาร์เตอร์ ย้ำ พร้อมทิ้งท้ายว่า ความเข้าใจ และการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับพนักงานทุกเจเนอเรชัน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น หากองค์กรอยากรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้ในระยะยาว
อ้างอิง: CNBC Make it, Gullup Report